ถึง….เธอ
มาถึงจดหมายฉบับนี้เราก็เดินทางมาถึงจดหมายฉบับที่ 11 แล้วที่เป็น Series เกี่ยวกับการขับรถเที่ยวในประเทศอังกฤษซึ่งเรื่องราวการเดินทางที่ผมจะเขียนเล่าให้คุณอ่านในจดหมายฉบับนี้เป็นการเริ่มต้น Highlight ของการขับรถเที่ยวอังกฤษเนื่องจากวันนี้จะเป็นวันเริ่มต้นในการเดินทางสู่ Highlands หรือ Isle of Skye ซึ่งการขับรถบนเส้นทางนี้บางคนถึงกับเคยกล่าวไว้ว่าจะมีวิว 2 ข้างทางที่สวยราวกับกำลังขับรถขึ้นสวรรค์กันเลยทีเดียว

ในเช้าวันเดินทาง ผมตื่นมาด้วยอากาศที่กำลังเย็นสบายแค่ประมาณ 15 องศา แม้จะอยู่ในหน้าร้อนก็ตาม โดยโรงแรม Merchant City Inn Hotel, Glasgow , Scotland ที่ผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านมีอาหารเช้าแบบบุฟเฟย์ให้โดยอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรมซึ่งก็มีอาการให้เลือกหลากหลายพอประมาณ สำหรับรสชาตินั้นสำหรับผมก็คิดว่าพอทานไว้เติมพลังกันหิวได้
หลังจาก check out แล้ว ผมแนะนำว่าถ้าคุณมาพักโรงแรมแห่งนี้อย่าลืมซื้อคูปองส่วนลดค่าจอดรถจากพนักงานนะครับเพราะคูปองส่วนลดสำหรับที่จอดรถนี้คุ้มมากๆ ดีกว่าเราไปจ่ายราคาเต็ม
จากโรงแรมไปที่จอดรถเราเดินไปไม่ไกลแค่ 5 นาทีเท่านั้นก็ได้เวลาไปตะลุย Highlands กันโดยจุดหมายของเราวันนี้มีหลายจุดได้แก่ Luss Village – Glencoe – Glenfinnan Viaduct – Fort Williams ก่อนที่จะไปพักค้างคืนกันที่ Skye walker hostel ซึ่งถือเป็นที่พักที่ผมประทับใจมากที่สุดในทริปนี้เลย
จากเมืองกลาสโกว์ผมขับไปตามถนน A82 ประมาณ 27.5 ไมล์หรือประมาณ 45 นาทีผมก็ไปถึงจุดหมายแรกคือ Luss Village จริงๆแล้วก่อนจะถึง Luss Village จะมีอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปนั่นคือทะเลสาบ Loch Lomond ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีความสวยงาม เงียบสงบเหมาะกับคนที่ต้องการไปใช้ชีวิตแบบ slow life นั่งเงียบๆหรือเดินป่าเพื่อชื่นชมธรรมชาติ แต่สำหรับกลุ่มของผมหลังจากอ่านรีวิวจากหลายๆแหล่งแล้ว บวกกับเวลาที่มีจำกัดและจุดหมายที่มีหลายสถานที่ในวันนี้ทำให้เราตัดสินใจข้ามสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้และเดินทางตรงมายัง Luss Village ที่อยู่ใกล้ๆกันและก็ตั้งอยู่ติดทะเลสาบ Loch Lomond เช่นกันแทน
ผมขับตาม GPS มาเรื่อยๆ จนมาถึงปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งที่มีรถจอดค่อนข้างเยอะ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าใช่ Luss Village หรือไม่ เลยขับเลยไป จนกระทั่งเลยจุดที่ GPS ระบุไว้ แสดงว่าตรงปั้มน้ำมันนั้นแหละคือจุดจอดรถเพื่อไปชม Luss Village ผมก็เลยตัดสินใจเลี้ยวรถกลับ แต่บังเอิญผมผ่านไปเจอบ้านน่ารักๆที่แต่งเต็มด้วยดอกไม้สีสันสดใสอยู่ริมทะเลสาป พวกเราเลยตัดสินใจจอดรถแล้วลงไปถ่ายรูปบ้านหลังนี้กันก่อน


หลังจากเก็บภาพกันเรียบร้อย เราก็กลับไปยังปั้มน้ำมันจุดเดิมเพื่อจอดรถที่นั่น ตอนนั้นจะมีทั้งรถส่วนบุคคลและรสบัสท่องเที่ยวมาจอดกันเต็มบริเวณ โดยด้านซ้ายมือจะมีจุดบริการนักท่องเที่ยวของ Luss Village อยู่ด้วยแต่เนื่องจากเรามาถึงค่อนช้างเช้า ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งนี้เลยยังปิดอยู่

จากจุดจอดรถ ผมสังเกตเห็นผู้คนต่างเดินไปทางเดียวกันคือเดินไปทางด้านหลังปั้มน้ำมัน พวกผมจึงเดินตามไปด้วยแล้วก็ค้นพบว่า Luss Village อยู่ด้านหลังปั้มน้ำมันนั่นเองซึ่งระหว่างทางที่เป็นถนนก็มีรถมาจอดกันเต็มไปหมด แสดงว่าเอารถไปจอดริมถนนข้างในได้
Luss Village
เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของทะเลสาป Loch Lomond โดยประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านแห่งนี้สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคกลางซึ่งแต่เดิมหมู่บ้านแห่งนี้จะถูกเรียกว่า Chachan Dhu หรือหมู่บ้านแห่งความมืดเนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูง แต่สิ่งก่อสร้างที่เราเห็นกันตอนนี้เริ่มสร้างมาราวๆศตวรรษที่ 18-19 โดยจุดเด่นของหมู่บ้านแห่งนี้คือสีสันของดอกไม้ต่างๆที่เจ้าของบ้านประดับประดาไว้หน้าบ้านตลอดทางเดินไปยังท่าเรือของหมู่บ้านนี้
เพราะฉะนั้นจุดที่น่าสนใจของหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ….
การเดินชมไปรอบๆหมู่บ้าน
หมู่บ้านแห่งนี้มีพื้นที่ไม่กว้างขวางนัก แต่มีจุดสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะมาก โดยเฉพาะบ้านเรือนผู้คนที่ตกแต่งดอกไม้หลากสีไว้หน้าบ้านเกือบทุกหลังให้บรรยากาศน่ารื่นรมย์มาก
ท่าเรือริมทะเลสาบ
ท่าเรือแห่งนี้ทำให้เราเห็นทะเลสาบ Loch Romond โดยท่าเรือนี้จะมีสะพานที่ทอดยาวไปกลางทะเลสาบ ที่สำคัญท่าเรือแห่งนี้มีเหล่าเป็ดน้ำน่ารักๆ ที่ว่ายอยู่แถวๆชายหาด ที่ถ้าคุณมาเห็นคงอดตกหลุมรักไม่ได้
โบสถ์และสุสาน Luss Parish Church
เป็นโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้ Saint Kessog ตัวโบสถ์นั้นถูกสร้างในปี 1875 แต่เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ได้รับใช้คริสตจักรมากว่า 1500 ปีโดยมีการค้นพบปฏิมากรรมโบราณหลานชิ้นในสุสานของโบสถ์แห่งนี้ ทำให้สุสานของโบสถ์เป็นสุสานที่มีความเก่าแก่มากแห่งหนึ่ง
Coach House Coffee Shop
สำหรับคนรักกาแฟอย่างคุณ ที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็มีร้านอาหารและร้านกาแฟน่ารักๆ ที่เคยได้รับรางวัล Scottish Café Award 2018 มาแล้วนั้นคือร้าน Coach House Coffee Shop ให้คุณลองชิมรสชาติด้วย
ร้านนี้โดยชื่อร้านก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นสไตล์การสร้างและตกแต่งแบบ Coach House หรือก็คือบ้านหลังเล็กที่ปกติจะสร้างแยกออกมาจากบ้านหลังใหญ่โดยมี Facility ต่างๆครบถ้วนเพียงแต่มีโครงสร้างและรายละเอียดในการก่อสร้างไม่ยุ่งยากแต่ก็มีความแรงทนทาน
สำหรับการตกแต่งที่ร้านนี้มีความน่ารักให้ความอบอุ่น ความรู้สึกเหมือนกับเป็นบ้านจริงๆ โดยใช้พื้นที่ของทุกห้องที่อยู่ในบ้านมาทำร้านอาหาร รวมทั้งมีส่วนของพื้นที่ Outdoorให้ด้วย
เนื่องจากพวกผมมาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้า เราเคยแค่ซื้อกาแฟและโกโก้เย็นสำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟอย่างผม ซึ่งสำหรับประเทศทางแถบยุโรป อเมริกา อะไรก็ตามที่เป็นเครื่องดื่มเย็นก็จะใส่น้ำแข็งมาพอเป็นพิธีแค่ 3-4 ก้อนเท่านั้น สำหรับคนคุ้นชินเครื่องดื่มเย็นจัดแบบบ้านเราต้องบอกว่าดื่มแล้วไม่ฟินเลย 555
และผมต้องขอแจ้งไว้ก่อนว่าเท่าที่ฟัง Feedback จากเพื่อนๆต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากาแฟที่นี่..ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ มิน่ารางวัลที่ได้จึงมาทางแนวบรรยากาศมากกว่ารสชาติของกาแฟ 555
นอกจากกาแฟ และอาหารแล้ว ที่ร้านนี้ของมีโซนขายของที่ระลึกด้วยซึ่งอยู่ทางเข้าร้านเลย ถ้าคุณสนใจก็อาจจะแวะชมก่อนได้
เมื่อทั้งเที่ยวทั้งหาอะไรดื่มกันแล้วก็ได้เวลาที่พวกผมต้องไปจุดหมายต่อไป แต่ขณะที่เดินมาถึงลานจอดรถนั้นเอง สายตาของเพื่อนผมคนหนึ่งก็เหลือบไปเห็นตู้กดบัตรจอดรถ อ้าวววว งานเข้าสิทีนี้
คือตอนที่พวกผมมาจอดรถก็ลืมไปเสียสนิทเรื่องการกดบัตรจอดรถและต้องเอามาวางไว้หน้ารถให้เห็นเด่นชัด ตามที่ผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านตอน ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 3 : การขับรถในอังกฤษ , Driving in the UK มาถึงตอนนี้ก็เลยต้องยอมรับชะตากรรมเพราะจะมากดอะไรตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ก็ได้แต่จำยอมรับสภาพถ้าหากจะมีบิลค่าปรับส่งตามหลังมา
ดังนั้นจึงต้องเตือนคุณไว้อีกครั้งนะครับ ให้นึกไว้เสมอว่าที่จอดรถในอังกฤษไม่มีที่ไหนฟรี ผมว่าให้คิดไว้แบบนี้ก่อน พอหาที่จอดรถได้ปุ๊บก็ให้มองหาป้ายบอกกฎการจดรถ (เพราะบางที่อาจจะฟรีแต่จะระบุเวลาไว้เช่น 1 ชั่วโมงหรือ 30 นาทีเท่านั้น) หรือให้มองหาตู้กดบัตรจอดรถก่อนเลยครับ ไม่งั้นอาจจะต้องมาเจอสภาวะจิตตกแบบพวกผม
ปล ผมอยากจะบอกคุณว่าจนถึงขณะนี้ผ่านไปเกือบ 6 เดือนแล้วยังไม่มีค่าปรับมานะครับ แต่ก็ไม่แน่ บางคนเคยบอกว่าบางทีก็ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกันกว่าค่าปรับจะส่งมา ก็ลุ้นกันต่อไปครับ
หลังจากมีเรื่องให้ตื่นเต้นกันเล็กน้อย พวกผมก็ขับรถไปจุดหมายต่อไปที่ Glencoe ที่ห่างไปประมาณ 60 ไมล์ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งซึ่งการขับรถในช่วงนี้ คุณจะได้เห็นความสวยงามของภูมิประเทศแบบ Highlands ได้อย่างเต็มตา รวมทั้งสภาพอากาศก็จะเริ่มเย็นลงไปอีก เรียกว่าถ้าไม่ติดเรื่องลมแล้วล่ะก็สามารถขับรถแบบเปิดกระจกได้เลยเพราะอากาศเย็นสบายมากจริงๆ
Highlands เป็นส่วนหนึ่งของ Scotland พื้นที่ส่วนนี้จะอยู่เหนือสุดของเกาะอังกฤษ ด้วยภูมิประเทศส่วนใหญ่ของพื้นที่แถบนี้ที่มีความหลากหลายทั้งภูเขา ทะเลสาบ ที่ราบสูง หุบเขา ป่าสน และพื้นหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา (แล้วแต่ฤดู) ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวที่สะดวกที่สุดในพื้นที่แถบนี้คือการการขับรถเที่ยวเอง
การขับรถเที่ยวในแถบ Highlands คุณจะได้ชมวิวแบบเว่อวังอลังการของธรรมชาติที่แทบจะไม่ซ้ำกันเลย และถ้าคุณมาในหน้าร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิก็จะมีเหล่าดอกไม้นานาพันธุ์แต่งแต้มสีสันอันตระการตาให้กับวิวของที่นี่ไปอีก จนทำให้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางสายคลาสสิคของนักท่องเที่ยวแนวธรรมชาติซึ่งจุดหนึ่งที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในการหยุดถ่ายรูปคือ Glencoe
Glencoe
เป็นช่วงหุบเขาที่เคยเป็นแหล่งกำเนิดของภูเขาไฟในพื้นที่ Highlands ของ Scotland โดยพื้นที่ตรงนี้จะมีทั้งวิวของภูเขาสลับที่ซับซ้อนโอบล้อมทะเลาสาปที่กว้างใหญ่มาก ถ้าคุณมาหยุดยืนดูแล้วจะเข้าใจว่าทำไมจึงมีผู้คนนับล้านๆคนดั้นด้นเดินทางมาที่นี่ตลอดทั้งปี


หลังจากขับไป แวะจอดถ่ายรูปไปเป็นระยะๆ ด้วยความเพลิดเพลินตลอดทาง มารู้ตัวอีกทีก็บ่ายแล้ว ประกอบกับน้ำมันใกล้จะหมด พวกผมจึงแวะเติมน้ำมันและทานมื้อเที่ยงกันที่ Glencoe Gatering ซึ่งอยู่บริเวณจุดแวะพักของนักท่องเที่ยว โดยอยู่ตรงข้ามกับ Glencoe Mountain rescue center เนื่องจากบริเวณ Glencoe นี้จะมีภูเขาสูงค่อนข้างเยอะจึงมีนักปีนเขาเดินทางมาที่นี่จำนวนมาก

ร้าน Glencoe Gathering นี้เป็นร้านหนึ่งที่พวกผมค่อนข้าง surprise เพราะไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกผมหิวมากเกินไปหรือเปล่า แต่พวกผมรู้สึกว่า Fish& chip ที่นี่อร่อยมากๆ
ขนาดหลังจากกลับมาได้สักพักแล้ว มีวันหนึ่งพวกเราได้ลองถามกันเล่นๆว่าคิดถึงอาหารมื้อไหนที่อังกฤษบ้าง คำตอบมีเพียงไม่กี่มื้อซึ่ง Fish & Chip ที่ Glencoe Gatering นี้ก็อยู่ใน List นั้น
ถึงตรงนี้ผมต้องขอเล่าให้คุณอ่านถึงอาหารเมนูนี้กันสักเล็กน้อย
ประเทศอังกฤษเป็นประเทศหนึ่งที่มีความยิ่งใหญ่ มีความล้ำหน้า ทั้งทางด้านเทคโนโลยีและความเจริญ เป็นประเทศที่เคยได้ชื่อว่าพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่เป็นเรื่องแปลกที่ประเทศอังกฤษกลับไม่ค่อยมีชื่อเสียงทางด้านอาหารเหมือนประเทศมหาอำนาจอื่นๆ เพราะเราไม่ค่อยจะได้ยินหรือเห็นร้านอาหารที่บอกว่าเป็น British Food แต่คุณจะเจอร้านอาหารฝรั่งเศส ร้านอาหารจีน ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านอาหารอิตาเลี่ยน ร้าน Junk food แบบอเมริกัน หรือแม้กระทั่งร้านอาหารไทยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในต่างประเทศ
แต่ถ้าถามว่า…ถ้าพูดถึงอาหารอังกฤษจะนึกถึงเมนูอะไรบ้าง ผมคิดว่าคำตอบมันกลับน้อยมากๆ เท่าที่ผมพอจะนึกออกก็จะมีแค่ English Tea , English Breakfast , สโคน และที่ถูกพูดถึงมากๆว่าถ้าไปอังกฤษแล้วต้องไปลองให้ได้ก็คือ Fish&Chip
และมันก็เป็นเรื่องแปลกมากๆ เช่นกันที่ก่อนเดินทางไปอังกฤษ ผมพยายามไปอ่านรีวิวต่างๆ ผลปรากฏว่าส่วนใหญ่จะ comment ไปในแนวทางเดียวกันว่าเมนู Fish & Chip ค่อนข้างเป็นเมนูที่ธรรมดาและไม่ค่อยอร่อย ฮาาาา แม้กระทั่งคนที่อาศัยอยู่ในอังกฤษเองมานานก็ยังพูดทำนองนี้
แต่สำหรับผม Fish & Chip ที่ Glencoe Gatering ถือว่าอร่อยครับ ผมขอเอาความเป็นนักชิมที่ชอบตระเวนทานอาหารตามที่ต่างๆเป็นประกัน 555 แต่ผมก็ต้องขอออกตัวไว้ก่อนด้วยถ้าคุณไปลองทานตามคำแนะนำแล้วมันไม่อร่อย ผมก็ต้องขออภัยไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะวันนั้นพวกผมหิวจัดกันไปเองจริงๆ 555




หลังจากเติมน้ำมัน เติมเสบียง ยืดเส้นยืดสายกันเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เดินทางต่อไปยัง Fort William ซึ่งห่างไปอีก 17 ไมล์และใช้เวลาแค่ราวๆ ครึ่งชั่วโมง
เมื่อมาถึงจะมีที่จอดรถอยู่ริมถนนใหญ่เลย ซึ่งคราวนี้พวกผมไม่ลืมที่จะมองหาตู้หยอดเหรียญสำหรับบัตรจอดรถ ในขณะเดียวกันก็มีป้ายบอกรายละเอียดว่าลานจอดรถตรงนี้สามารถจอดได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะฉะนั้นผมถึงเคยเตือนว่าเมื่อจอดรถแล้วสิ่งที่ต้องมองหาคือตู้กดบัตรจอดรถ และป้ายประกาศรายละเอียดต่างๆ
สำหรับตู้หยอดเหรียญตรงจุดนี้จะต้องกดรหัสพื้นที่ด้วย ตอนแรกก็งงๆคับว่าจะรู้ได้ไงแต่พอหาไปหามาสักพัก รหัสพื้นที่ก็เขียนไว้อยู่ด้านบนตู้นั่นเอง ลองมองหาดูนะคับ
Fort William
เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอับดับ 2 ของพื้นที่ Highlandsของ Scotland รองจากเมือง Inverness ( เมืองสุดท้ายที่ผมจะขับรถเที่ยวในอังกฤษ) โดยได้ชื่อนี้มาจาก William of Orange ที่ได้สร้างเมืองนี้ขึ้นบนพื้นที่ค่ายทหารเดิมสำหรับใช้ดูแลผู้คนในแถบ Highlands
Fort William เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาใหญ่ มีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ติดกับหมู่บ้าน และมีความเจริญค่อนข้างมาก เรียกว่ามีร้านรวงและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่เมืองนี้จึงมักถูกใช้เป็นจุดพักของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังเมืองต่างๆของ Highlands รวมทั้งนักปีนเขาทั้งหลายด้วยเนื่องจากเมืองนี้อยู่ใกล้กับภูเขา Ben Nevis ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในอังกฤษจึงมีนักปีนเขาเดินทางมาที่นี่จำนวนมาก
เราใช้เวลาที่นี่กันไม่นานนักครับ โดยหลักๆนอกจากเดินชมเมืองและทะเลสาปแล้ว เราก็แวะไป Supermarket เพื่อซื้อเสบียงสำหรับไปทำอาหารไปทานกันอีกครั้งที่ Skye Walker Hostel เนื่องจากตัวโฮสเทลค่อนข้างขึ้นไปบนเขาสูงเลยคิดว่าน่าจะหาร้านอาหารทานกันยากเลยเตรียมวัตถุดิบไปทำกันเองก่อน
จาก Fort William ผมขับไปโดยใช้ถนน A830 ประมาณ 17 ไมล์หรือแค่ครึ่งชั่วโมง พวกผมก็ไปถึง Glenfinnan ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแล้วยังมีสะพาน Glenfinnan Viaduct ที่เป็นสะพานทางรถไฟ ที่ใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter ตอน The chamber of secret ซึ่งจริงๆแล้วถ้าอยากได้อารมณ์แบบในภาพยนตร์ หลายคนก็จะเลือกวิธีนั่งรถไฟหัวจักรไอน้ำระหว่างเมือง Fort William กับ Mallaig แทน
เมื่อขับรถไปถึงจะมีลานจอดรถอยู่ริมถนนใหญ่เลยครับ โดยตรงลานจอดรถจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลด้วยซึ่งบัตรจอดรถจะมีให้กดอยู่ด้านหน้า รวมทั้งมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่มีทั้งร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก

Glenfinnan Viaduct
เป็นเส้นทางรถไฟที่สร้างในรูปแบบฐานวงโค้ง ก่อสร้างในปี คศ 1897 โดยเป็นสะพานรถไฟที่ใช้คอนกรีตในการก่อสร้างเป็นครั้งแรกของโลก มีความสูง 100 ฟุต ความยาว 1,200 ฟุต โดยมีจุดเด่นที่ฐานโค้งรูปเกือบม้าจำนวน 21 วง และสะพานแห่งนี้ได้มีชื่อเสียงอย่างมากเมื่อถูกนำมาใช้เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter ที่โด่งดัง


จากลานจอดรถให้คุณเดินขึ้นไปบนเขาครับโดยทางขึ้นจะอยู่ใกล้กับอาคารบริการนักท่องเที่ยวซึ่งเมื่อขึ้นไปบนเขาแล้วเราก็จะเห็นตัวสะพานชัดเจน แต่หากใครอยากจะได้ภาพที่ชัดและใกล้กว่านั้นก็ไม่ต้องขึ้นเขาตรงนี้นะครับ ต้องเดินเท้าไปทางด้านข้างซึ่งใช้เวลาอีกสักระยะเพื่อไปยังจุดที่จะถ่ายรูปสะพานได้สวย และถ้าคุณต้องการจะได้ภาพรถไฟวิ่งผ่านสะพานนี้ด้วย ก็ต้องกะเวลาให้มาถึงตรงกับช่วงที่รถไฟจะผ่านครับ
นอกจากสะพาน Glenfinnan Viaduct แล้วเมื่อกลับลงมาด้านล่าง ฝั่งตรงข้ามยังมีสิ่งที่น่าสนใจคือ Glenfinnan Monument
Glenfinnan Monument
เป็นอนุสาวรีย์ในรูปแบบเสาร์สูงเพื่อเป็นการระลึกถึงเหล่าทหารกล้าของสก็อตแลนด์ในการสู้รบเพื่อปลดแอก Jacobite (ในอดีตพื้นที่แถบนี้เรียกว่า Jacobite) จากอังกฤษโดยในการรบครั้งนั้นชาวสก็อตแลนด์ที่เข้าร่วมสงครามได้เสียชีวิตไปถึงเกือบ 2000 คน
และบริเวณอนุสาวรีย์แห่งนี้ยังอยู่ติดกับทะเลสาบให้คุณลองไปชมความงามของวิวทิวทัศน์ได้อีกด้วยครับ
หลังจากเที่ยวบริเวณนี้กันจนทั่วแล้ว พวกผมก็จะเดินไปยังที่พักของเราคืนนี้ซึ่งต้องข้ามไปเกาะ Isle of Skye โดยมีวิธีการเดินทางได้ 2 วิธีคือ
- ขับไปแล้วไปต่อเรือข้ามฟากไปยังเกาะ
- ขับไปข้ามสะพาน Skye Bridge จากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะ
แต่ปัญหาคือทั้ง 2 วิธีนั้นต้องไปคนละทางกัน พวกผมจึงต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเดินแบบไหนดี
หลังจากปรึกษากันแล้วพวกเราเลือกไปข้ามสะพานไปยังเกาะครับเพราะตอนนั้นก็ 5 โมงเย็นแล้ว เราเป็นห่วงกันว่าถ้าไปข้ามเรือ หากไปไม่ได้จังหวะเวลาก็ต้องรอเวลาที่เรือข้ามฟากจะออก หรือหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็จะยิ่งมีปัญหา เดี๋ยวจะไปเช็คอินไม่ทัน เพราะจากที่โทรไปสอบถามทางโฮสเทล ทางเจ้าหน้าที่จะรอถึง 3 ทุ่มเท่านั้น
จาก Glenfinnan แห่งนี้จะอยู่ห่างกับโฮสเทลที่เราจะไปพัก 75 ไมล์หรือต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาทีเลยทีเดียว พวกผมเลยไม่อยากเสี่ยง
โชคดีนะครับที่ดังที่ผมได้เคยเขียนมาเล่าไว้ในจดหมายฉบับเรื่อง ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 2 : ข้อควรรู้ก่อนขับรถเที่ยวอังกฤษ ข้อดีของการมาเที่ยวอังกฤษในหน้าร้อนคือพระอาทิตย์จะตกดิน หรือค่ำมืดช้ามาก จากประสบการณ์ช่วงที่ผมเดินทางนั้น พระอาทิตย์จะตกดินๆ ราว ๆ 3 ทุ่ม บางวันก็เกือบ4 ทุ่ม ดังนั้นเราจึงเที่ยวได้ค่อนข้างเยอะ และมีความสะดวกในการขับรถมากกว่า
ระหว่างที่ผมขับรถไป พวกผมก็ดันเจอเหตุการณืไม่คาดฝันนั่นคือมีการปิดถนนทำให้รถทุกคนที่ผ่านมาบริเวณนั้นต้องหยุดรถและหลบขึ้นไปข้างทาง (อะไรมันจะซวยปานนี้ ) ตอนนั้นก็เริ่มใจไม่ดีแล้วครับเพราะไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าถนนจะมาเปิดให้ใช้ตามปกติ
พวกผมรอไปสักพักก็มีรถตำรวจนำขบวนมา พวกผมก็นึกว่าเป็นขบวนของบุคคลสำคัญแต่สุดท้ายแล้วกลับไม่ใช่ รถที่ตำรวจนำขบวนมาเป็นรถขนส่งปีก 1 ชิ้นของกังหันสำหรับผลิตพลังงานลมที่ผมเคยเห็นไกลๆ ตอนขับรถในอังกฤษ แต่พอของจริงผ่านไปต้องบอกเลยว่ามันใหญ่และยาวกว่าที่คิดไว้มากมากๆ เห็นแล้วรู้สึกทึ่งมากๆ ก็เลยลืมเรื่องการปิดถนนไปเลย โชคดีที่การปิดถนนตรงนี้ใช้เวลาไม่นานมาก พวกผมเลยเดินทางกันต่อ

เราขับไปเรื่อยๆโดยระหว่างทางก็ชมความงามของวิวทิวทัศน์ไปด้วยจนถึงจุดข้ามสะพาน Skye Bride เพื่อไปยังเกาะ Isle of Skye ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสก็อตแลนด์และมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายที่ทีเดียว และก่อนข้ามสะพานแห่งนี้จะเห็นปราสาท Eileen Castle ด้วย

เนื่องจากเราทำเวลาได้ดีกว่าที่คิด ก่อนจะเข้าสู่โฮสเทล ผมและเพื่อนๆ เลยแวะซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอหารกันเพิ่มเติมที่ Co-op ซึ่งเป็น super Market ที่มีหลายสาขาทั่วอังกฤษที่เมือง Broadford โดยด้านหลังของ Co-op แห่งนี้มีวิวของทะเลสาบสวยๆให้ชมกันอีกแล้ว พวกผมเลยแวะไปเก็บภาพกันนิดหน่อย
จากเมือง Broadford ไปยังโฮสเทลใช้เวลาอีกไม่นาน แต่เนื่องจากโฮสเทลที่เราจะไปพักนั้นตั้งอยู่บนเขาสูงเราจึงต้องค่อยๆขับรถขึ้นไป และเนื่องจากถนนค่อนข้างแคบจึงมีหลายช่วงที่ต้องคอยหลบรถที่สวนลงมา แต่ข้อดีของถนนที่นี่คือจะมีจุดจอดให้หลบทางค่อนข้างเยอะ
ในการขับรถที่ต้องสวนและหลบให้กันแบบนี้ผมเคยเขียนมาอธิบายให้คุณอ่านในตอน ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 3 : การขับรถในอังกฤษ , Driving in the UK ลองไปอ่านรายละเอียดอีกครั้งได้นะครับ โดยสรุปคือส่วนใหญ่แล้วรถที่เป็นขาลงเขาจะเป็นฝ่ายหลีกทางให้กับรถที่ขึ้นเขา ยกเว้นรถที่ขึ้นเขามีจุดให้จอดหลบที่สะดวกกว่า เราก็ต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้ และเมือขับผ่านรถที่ให้ทางเราก็อย่าลืมยกมือขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณด้วยนะครับ
เรื่องการยกมือแสดงความขอบคุณเป็นสิ่งที่ผมสังเกตเอาเองจากตอนขับรถขึ้นเขาไปครั้งนี้เพราะทุกครั้งที่เราให้ทาง คนขับที่ลงมาจะมือและพยักหน้าเป็นการขอบคุณให้เราทุกครั้ง
แต่ถึงแม้การเดินทางไปโฮสเทลคืนนี้จะต้องขับขึ้นภูเขาสูงและต้องคอยหลบรถเป็นระยะๆเนื่องจากทางค่อนข้างแคบ แต่อยากจะบอกว่าวิวระหว่างขับขึ้นไปนั้นมันสวยมากๆ เพราะเราจะสามารถมองลงมาเห็นทะเลสาบและหมู่บ้านด้านล่าง ยิ่งตอนที่ผมขับขึ้นไป พระอาทิตย์กำลังเริ่มตกดิน ท้องฟ้ากำลังเข้าสู่ช่วงโพล้เพล้ แสงสีและวิวทิวทัศน์ต่างๆที่เห็นช่วงนี้มันสวยมากครับ
หลังจากตุ้มๆต๋อมๆ กลัวจะมาถึงโฮสเทลไม่ทัน 3 ทุ่ม พวกเราก็มาถึงได้ก่อนเวลาโดยโฮสเทลที่เราเลือกพักในครั้งนี้มีชื่อว่า Skye Walker Hostel ซึ่งผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณฟังอ่านอย่างละเอียดแล้วในตอน Skyewalker Hostel , Isle of Skye , Scotland เป็นโฮลเทลที่ถ้าคุณมีโอกาสไปเที่ยว Isle of skye ผมอยากจะแนะนำให้ลองไปพักที่นี่แบบสุดๆ
Skye Walker Hostel เป็นที่พักที่ผมประทับใจที่สุดในทริป นอกจากความสวยงามของที่พักที่มีมุมต่างๆให้เราถ่ายรูป และใช้เวลาพักผ่อนได้เยอะมากๆแล้ว ที่นี่ยังมีไฮโลท์คือโดมกระจก ที่สามารถให้เราเข้าไปนอนดูดาวในนั้นได้ โดยวันที่พวกผมเข้าพักนั้นพวกผมขนเครื่องดื่ม ขนม (ต้องทานแบบรักษาความสะอาดนะครับ) รวมทั้งกีตาร์เข้าไปร้องเพลงกัน ไปนอนดูดาวแล้วคุยสัพเพเหระกัน จะบอกว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเลยครับ


แต่ต้องบอกก่อนว่าที่นี่คือโฮสเทลเพราะฉะนั้นกฎต่างๆจะไม่เหมือนโรงแรมนะครับ เพราะฉะนั้นโดมนี้ก็เปิดให้ใช้ถึงแค่ 4-5 ทุ่มเท่านั้น
นอกจากนั้นโฮสเทลแห่งนี้ยังมีห้องครัวที่กว้างขวางสวย สะอาด และมีอุปกรณ์ทำอาหารแบบครบครันเหมาะแก่การทำอาหารของ master chef อย่างผมมาก 555
วันนั้นพอเดินทางไปถึงและเช็คอินกันเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็มาช่วยกันทำอาหารแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบเสร็จแล้วเราก็เอาออกไปทานอาหารมื้อเย็นกันด้านนอก (เรียกมื้อค่ำจะถูกกว่าเพราะเวลาตอนนั้นน่าจะราวๆ 3 ทุ่มแล้ว)
แม้อุณหภูมิขณะนั้นจะลดลงเหลือ 13 องศา ( ขนาดหน้าร้อนนะนี่) แต่ก็เป็นมื้อที่อร่อยมากๆเลยครับเพราะมีวิวทิวทัศน์กับบรรยากาศมาช่วยเพิ่มอรรถรสของอาหารด้วย อ้อ นอกจากนั้นทางเจ้าของโฮสเทลซึ่ง nice มากๆ ยังเอาวิสกี้แบบสก็อตมาให้เราลองทานกันคนละแก้วด้วย ช่วยให้ตัวอุ่นขึ้นมาเยอะเลย



การเดินทางวันนี้ของผมค่อนข้างใช้เวลายาวนาน และแวะกันหลายสถานที่มากๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมและเพื่อนๆกลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลย นี่คงเป็นความมหัสจรรย์ของการเดินทางท่องเที่ยว ที่แม้เราจะใช้พลังกายไปในการเดินทาง แต่พลังใจที่ได้รับกลับมามันกลับยิ่งสร้างพลังและความสุขให้เราได้มากกว่า ดังนั้นคืนนั้นจึงเป็นอีกคืนที่ผมเข้านอนด้วยความสุขอีกครั้ง แม้กระทั่งตอนที่เขียนเล่าให้คุณอ่านตอนนี้ ผมก็ยังจำได้ลางๆว่าคืนนั้นเป็นอีกคืนหนึ่งที่ผมหลับไปด้วยรอยยิ้มของความสุขมากที่สุดคืนหนึ่ง

แล้วพบกันกับจดหมายฉบับหน้านะครับ คราวหน้าจะเป็นการพาคุณเที่ยวเกาะ isle of skye กัน
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึงเสมอ
Mgastronome
24 กุมภาพันธุ์ 2019
IG : mgastronome_travel
Mgastronome_eat
One Comment Add yours