ถึง…เธอ
เมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศจีน ชื่อของ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กำแพงเมืองจีน สุสานจิ๋นซี จิ่วไจ้โกว และ แชงกรีล่า มักเป็นชื่อแรกๆ ที่ผมนึกถึง
ไม่เคยเลยสักครั้งที่ชื่อของ “ลี่เจียง” จะถูกนำมาพูดในฐานะ a-must-see place ของเมืองจีนให้ได้ยินหรือรับรู้
ดังนั้นเมื่อเพื่อนบอกว่าจะไปแชงกรีล่า น่าจะแวะไป “ลี่เจียง” ด้วย คำถามของผมจึงเกิดขึ้นมาทันทีว่า…ไปทำไม…ทำไมต้องไป???
โชคดีที่เมืองลี่เจียงมีตราประทับจาก UNESCO ในฐานะ “เมืองมรดกโลก” จึงเป็นเหตุผลสำคัญให้ผมตัดสินใจ..”ลองไปดู” แบบไม่คาดหวังอะไรมาก และคิดว่าเป็นของแถมจากแชงกรีล่า
โดยหารู้ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว…สำหรับผม…“ลี่เจียง” ได้กลายเป็นเพชรเม็ดเอกของทริปนี้
ลี่เจียงคือเมืองที่แสนจะโรแมนติก ซึ่งอาจจะทำให้คนที่ไปด้วยกันหลงรักกันได้โดยง่าย แต่ที่แน่ๆ สำหรับผม…คงต้องสารภาพโดยดุษฎีว่าผมหลงรักเมืองนี้เข้าเต็มเปา
ก่อนจะไปเริ่มต้นนำคุณเที่ยวลี่เจียง ผมคงต้องขอย้อนกลับไปที่เมืองแชงกรีล่า หรือจงเตี้ยนกันก่อน
ในวันที่ต้องเดินทางไปเมืองลี่เจียง พวกผมออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เช้าไปสถานีขนส่ง เพื่อขึ้นรถบัสโดยสารไปลี่เจี่ยง

ตอนแรกพวกผมก็กะไปลองหาอาหารเช้าทานกันที่สถานีขนส่ง ที่จริงหน้าตาอาหารดูน่าทานมาก แต่สุดท้ายพวกผมก็ไม่กล้าคับ กลัวมีปัญหากับห้องน้ำ ยิ่งระหว่างเดินทางแบบนี้ ผมเลยพยายามหลีกเลี่ยงสุดชีวิตคับ
การซื้อตั๋วไปลี่เจียงที่สถานีขนส่งนี่ง่ายมาก เพราะโชคดีที่คนขายพูดอังกฤษได้นิดหน่อย หลากจากได้ตั๋วแล้วก็พวกผมก็เดินไปรอที่ท่ารถตามหมายเลขที่ระบุในบัตรเลย ตัวรถที่พวกเราจะต้องโดยสารไปก็หาไม่ยากด้วย เพราะทะเบียนรถจะถูกระบุไว้ในตั๋วเลย ว่าเราต้องขึ้นรถทะเบียนอะไร
ผมทานมื้อเช้ากันในรถเลยเพื่อเซฟเวลา เซฟเงิน และเซฟท้องไส้ เลยซื้ออาหารเช้าในร้านสะดวกซื้อที่น่าจะปลอดภัยกว่า

จากแชงกรีล่าไปลี่เจียงใช้เวลา 4 ชั่วโมง แต่วันนี้พวกผมโชคไม่ดีที่บังเอิญมาเจอการก่อสร้างทางทำให้รถไปต่อไม่ได้ ต้องจอดรถรอนานทีเดียว
หลังจากรถออกเดินทางได้ พวกผมก็ค่อยใจเย็นขึ้นเพราะนึกว่าเราจะต้องเสียเวลาเที่ยวไปหนึ่งวันโดยต้องนั่งอยู่ในรถเฉยๆแล้ว และเมื่อรถยิ่งเข้าใกล้เมืองลี่เจียงเท่าไหร่ ภูเขามังกรหยกก็จะยิ่งอวดโฉมมาให้พวกเราเห็นแบบชัดเจนขึ้นเท่านั้น
พวกผมใช้เวลาอีกไม่นาน ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเมืองลี่เจียง เมืองมรดกโลก โดยที่สถานีขนส่งของเมืองลี่เจียงจะมีหอนาฬิกา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสถานีขนส่งของลี่เจียงด้วย
จากสถานีขนส่ง พวกผมเรียก taxi ให้ไปส่งที่เขตเมืองเก่าในราคา 10 หยวน ซึ่งจากสถานนีขนส่งไปยังเมืองเก่านั้นไม่ไกลเลย ใช้เวลาแป๊บเดียวเอง
เมืองลี่เจี่ยงอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล2200 เมตรก็ถือว่าโอเคคับ และในแต่ละมุมของเมืองก็มีโอกาสเห็นภูเขามังกรหยกตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น เป็นสง่า

เขตเมืองเก่าลี่เจียง ด้านในห้ามนำรถทุกชนิดเข้าเหมือนกับที่เมืองเก่าแชงกรีล่า โดยทางด้าหน้าทางเข้า เขตเมืองเก่า จะมีกังหันน้ำสัญลักษณ์ของเมืองลี่เจียงอยู่ แต่ก่อนที่จะเที่ยวชมเมือง ภารกิจแรกของพวกผมคือต้องไปหาโรงแรมก่อน
วันนี้พวกผมโชคดีมากๆเลยคับเพราะได้เจอน้องนักเรียนที่พอพวกเราเข้าไปถามทาง นอกจากจะช่วยแนะนำแล้ว ยังช่วยพาเราเดินไปหาโรงแรมจนถึงที่เลย ทั้งๆที่โรงแรมก็ไม่ได้ใกล้เลย พวกผมรู้สึกซึ้งในน้ำใจน้องเค้ามากๆ
โรงแรมที่เราจะพักที่นี่เป็น Youth Hostel ชื่อ International Youth Hostel , ลี่เจียง , ประเทศจีน ซึ่งผมได้เขียนมาเล่าให้คุณอ่านแล้วในจดหมายฉบับที่แล้ว
แต่เมื่อมาถึงโรงแรม ผมเพิ่งทราบว่าผมได้ทำข้อผิดพลาดระหว่างการจองคือแทนที่จะจอง Youth hostel ที่ลี่เจียง ดันไปจองที่กวางโจวซึ่งอยู่ในเครือเดียวกัน
ไม่แน่ใจว่าไปพลาดขั้นตอนไหน แต่ที่แน่ๆ คือลืมเช็คหลังจากจองแล้ว โชคดีที่ยังมีห้องว่าง ดังนั้นจึงอยากจะเตือนคุณไว้ด้วยนะครับ นอกจากชื่อโรงแรมแล้วต้องเช็คชื่อเมืองให้ถูกต้องด้วย
สภาพห้องที่ International Youth Hostel , ลี่เจียง , ประเทศจีน ดูดีนะครับ แต่ไม่ค่อยสะอาด ฝุ่นเยอะมาก พวกผมก็เลยขอย้ายห้อง จนได้ห้องที่ดีขึ้นมานิดหน่อย แถมมีระเบียงเล็กๆให้ด้วย ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด แต่โดยส่วนตัว ผมยังไม่ค่อยพอใจเรื่องความสะอาดเท่าไหร่ เต็ม 5 คงให้แค่ 2 เท่านั้น
เนื่องจากเป็นโฮสเทลจึงห้อง common room ไว้นั่งคุย นั่งเม้าส์ เข้าอินเตอร์เนต หรืออะไรก็ได้คับ ไม่จ่ายตังค์
สำหรับโรงแรม International Youth Hostel นี้จะมีห้องชั้นบนสุดที่ผมตั้งใจจะจองห้องนี้แต่มีคนจองไปแล้ว
ห้องแบบนี้จะมีแค่ห้องเดียว หรือว่าเป็นห้องที่ค่อนข้างหรู เมื่อเทียบกับ youth hostel ทั่วไป แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมอยากได้ห้องนี้ทั้งๆที่ราคาค่อนข้างสูง ก็เพราะระเบียงของห้องคับ ซึ่งสามารถใช้เก็บภาพหลังคาเมืองลี่เจียงที่สวยงามได้ชัดเจน
แต่พวกผมโชคดี(อีกแล้ว) ที่วันที่พวกผมขึ้นไปถ่ายห้องนี้ได้เพราะเจ้าของเพิ่งCheck out ออกไป พวกผมเลยได้เข้าไปเก็บภาพห้อง และหลังคาเมืองลี่เจียงมาได้
หลังจากเก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็ได้เวลาออกไปหาอะไรกินกับชมเมืองกันคับ
ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้เมืองลี่เจี่ยงนี้น่าเที่ยวมาก มองไปทางไหนก็สวยงามไปหมด เพราะผู้คนที่นี่รักดอกไม้ มีการปลูกดอกไม้เต็มเมืองไปหมด
ระหว่างทางผมเจอชาวบ้านเอาองุ่นกับสตรอเบอร์รี่สดมาขาย น่าทานมาก และก็เหลือนิดหน่อยแล้ว พวกผมเลยเหมาเลยคับ เลยได้เห็นวิธีชั่งแบบแปลกๆ ของคนที่นี่ด้วย นาทีนั้นผมก็ไม่รู้หรอกคับว่าโกงหรือไม่โกง หรือชั่งตรงหรือไม่

อาหารเที่ยงของพวกวันนี้ก็คือ KFC เหตุผลที่เลือกมาทานร้านฟาสต์ฟู้ดเพราะถ้าคุณจำเรื่องราวในจดหมายที่ผมเขียนมาถึงคุณมาตั้งแต่แรก คงจำกันได้เรื่องที่ผมบ่นมาตลอดว่าทุกครั้งที่กินอาหารที่เมืองจีน ผมไม่เจอเนื้อหมูหรือไก่ที่เป็นชิ้นๆเลยมีแต่เนื้อติดกระดูก
พวกผมจึงตั้งใจมากิน KFC เพราะอยากได้เนื้อไก่เป็นชิ้นๆ งานนี้พวกผมเลยทานกันจนหายอยากเลย
อิ่มมื้อเที่ยงกันแล้ว ผมก็ได้เวลาปฏิบัติภารกิจต่อไปนั่นคือ ไปจองตั๋วรถไฟกลับคุนหมิงไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งคงต้องบอกก่อนว่าพวกผมไม่ได้ตั้งใจจะกลับคุนหมิงด้วยรถไฟมาตั้งแต่แรกนะคับ แผนดิมของพวกผมคือใช้รสบัสนอนกันเหมือนเดิม
แต่โอกาสเกิดท่ามกลางวิกฤต ถ้าคุณจำเหตุการณ์ตอนที่กล้องผมหายที่วัดโปตาลาน้อยได้ ตอนนั้นเพื่อนที่ลงมาด้านล่างก่อนได้พบกับไกด์ทัวร์คนไทย ซึ่งไกด์ท่านนั้นได้แนะนำให้ลองกลับคุนหมิงด้วยรถไฟเพราะง่ายและสะดวกกว่า
ส่วนพวกผม มันพวกใจง่าย ก็เลยทำตามคำแนะนำ แบบมาเสี่ยงจองเอาดาบหน้า ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อมูลเลย
จริงๆแล้วสาเหตุลึกๆ ที่พวกผมเปลี่ยนแผนมานั่งรถไฟคือพวกผมอยากลองนั่งรถไฟในจีนบ้าง เพราะเมื่อมีโอกาสมาท่องเที่ยวในต่างแดนแล้วก็อยากมีประสบการณ์ใหม่ๆ หลายๆด้านครับ
วันนั้นพวกผมอาศัยความใจกล้า หน้าด้าน บวกหนังสือคำศัพท์จีน ไทย และ การวาดรูปเล็กๆน้อยๆ ก็ได้ตั๋วรถไฟมาแบบงงๆ ทั้งเตียงบน เตียงล่าง สำหรับ 4 คน ซึ่งจะออกจากลี่เจียงตอนทุ่มครึ่ง และไปถึงคุนหมิงตอนตี 5คับ
ตอนได้ตั๋วมา ผมพยายามเช็คในตั๋วอยู่หลายรอบว่าเป็นตั๋วไปคุนหมิงแน่ๆ เกิดพลาดพาไปกวางโจวเหมือนที่จองโรงแรมผิดล่ะก็ ขำไม่ออกแน่
เสร็จภารกิจแล้วก็ได้เวลากลับไปเดินเล่นในเมืองเก่าแล้วคับโดยเริ่มจากจัตุรัสอวี่เหอ
จัตุรัสอวี่เหอ
เป็นจัตุรัสที่มีกังหันน้ำ สัญลักษณ์ของเมืองเก่าลี่เจียงตั้งอยู่ บริเวณตรงนี้จะมีส่วนที่เป็นกังหันน้ำ กำแพงจารึกสัญลักษณ์มรดกโลกและ ซุ้มกระดิ่งตงปา ที่ผู้คนไปเขียนขอพรไว้มากมาย
ลี่เจียง ถูกประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี 2540 ด้วยความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม ระบบชลประทานที่เยี่ยมยอด รวมทั้งการผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆได้อย่างลงตัว โดยเมืองเก่าแห่งนี้มีประวัติที่ยาวนานกว่า 800 ปี มีสถาปัตยกรรมและการวังผังเมืองแตกต่างจากเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะคูคลองที่ขุดอยู่ทั่วเมืองจนได้ฉายาว่า “เวนิสแห่งตะวันออก”
ลี่เจียง เป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมล้ำหน้าไปมากๆเพราะเมืองนี้ประกาศห้ามใช้ถุงพลาสติก และโฟม มาตั้งแต่ปี 2546

สายน้ำก็เป็นเหมือนชีวิตของคนที่นี่ การทิ้งขยะลงแม่น้ำไม่ใช่แค่ผิดในแง่กฎหมาย แต่ชาวลี่เจียงเชื่อว่าผิดต่อเทพเจ้า จะนำความโชคร้ายมาเยือน ผู้คนที่นี่จึงรักษาดูแลแม่น้ำคูคลองของตัวเองดีมากๆ น้ำที่นี่จงสะอาดและใสสุดๆ


ระบบชลประทานของที่นี่ก็ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าแสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของคนโบราณ โดยในเขตเมืองเก่าที่มีพื้นที่กว้างขวางถึง 21,219 ตารางเมตรมีคลองส่งน้ำทั่งถึงตลอดทั้งเมือง ทำให้มีสะพานมากถึง 354 สะพาน เพราะฉะนั้นถ้าเดินเพลินจนไม่ระวังและจดจำเส้นทางก็หลงเอาง่ายๆเลยนะครับ
พวกผมเดินเล่นอยู่แถวจัตุรัสนานพอสมควร จนรู้สึกว่าเย็นมากแล้ว จึงรีบเดินไปสระมังกรดำ แต่จริงๆแล้วแล้วพวกผมก็ตั้งใจรอเวลาเดินไปตอนใกล้ๆพระอาทิตย์ตกอยู่แล้วครับ เพราะสระมังกรดำจะสวยงามสมฉายาสระมังกรดำก็ตอนที่พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้วนี่แหละ
วิธีไปสระมังกรดำจากจัตุรัสอวี่เหอไม่ยากครับ ให้คุณลองยืนโดยให้กังหันน้ำอยู่ซ้ายมือของคุณ จากนั้นก็เดินตรงตามแม่น้ำเล็กๆไปเรื่อยๆเลยครับจะไปเจอกับสระมังกรดำเลย

สังเกตว่าระหว่างเดินไปซ้ายมือจะเป็นคลอง ส่วนขวามือจะเป็นร้านอาหารมากมาย อาคารสิ่งก่อสร้างของร้านอาหารเหล่านี้จะสวยมากๆ แต่คุณจะเห็นว่ายิ่งเดินเหมือนยิ่งขึ้นเขา ยิ่งเข้าไปในป่า นั่นแหละครับ คุณไปถูกทางแล้วระยะทางห่างจากกังหันน้ำประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น
เมื่อเดินไปถึงคุณจะเจอประตูทางเข้าของสระมังกรดำเลย ซึ่งตรงประตูนี้ตอนที่ผมไปเที่ยวที่ลี่เจียงนั้นยังมีการเก็บค่าบำรุงเมืองอยู่ แต่หลังๆได้ข่าวว่าเลิกเก็บแล้วนะครับ คุณต้องลองเช็คข้อมูลตรงส่วนนี้อีกครั้ง
“ค่าบำรุงเมือง” ตอนได้ยินครั้งแรกผมก็งงเหมือนกันคับ แต่ใครที่มาลี่เจียงก็ต้องจ่ายกันทุกคนในราคา 80 หยวน ( ราคา ณ ตอนที่ผมเดินทาง)
ค่าบำรุงเมืองนี้จะเก็บ ณ สถานที่แรกที่คุณไปเที่ยว โดยต้องเขียนชื่อ นามสกุลตามพาสปอร์ต ลงบนบัตร ซึ่งจะเป็นการจ่ายเพียงครั้งเดียว แต่ต้องเก็บบัตรนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา เพราะไม่ว่าไปเที่ยวที่ไหนในเขตเมืองลี่เจียง เขาก็จะขอดูบัตรนี้ตลอด รวมทั้งจะมีการสุ่มตรวจด้วย หากไม่มีบัตรนี้ติดตัวก็จะโดนปรับ
สระมังกรดำ
ลี่เจียง เป็นเมืองของชาวนาซี ซึ่งมีตำนานว่า มีสระสวยงามสระหนึ่งที่เคยมีมังกรดำเหาะจากสระขึ้นมาโดยเชื่อกันว่าเป็นที่นี่
สระแห่งนี้จึงถูกเรียกขานว่าสระมังกรดำ
สระมังกรดำเป็นส่วนหนึ่งของสวนยู้วฉวน (Yuquan) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมืองลี่เจียง สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิงหรือแมนจูในปี 1973
สระมังกรดำแห่งนี้เป็นแหล่งน้ำที่ไหลไปหล่อเลี้ยงชาวเมืองด้วย ซึ่งในเวลากลางวันความใสของน้ำจะมีภาพสะท้อนของภูเขามังกรหยกอยู่บนพื้นน้ำอย่างสวยงามมาก น่าเสียดายในวันที่ผมไปนั้นท้องฟ้าค่อนข้างปิด เราจึงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพสวยงามนั้น
ภายในสวนแห่งนี้จะมีวัดหลงเสิน หรือวัดเทพเจ้ามังกร โดยวัดแห่งนี้ถูกสร้างในรัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงของราชวงศ์ชิง โดยสร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพเจ้ามังกรที่สถิตอยู่ ณ สระมังกรดำแห่งนี้
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนความมืดค่อยคลืบคลานเข้ามา สระมังกรดำจะค่อนๆเผยความงามที่ซ่อนไว้ซึ่งจะเห็นได้ในเวลากลางคืนเท่านั้น ( นั้นคือเหตุผลที่ผมอยากแนะนำให้คุณเดินทางมาที่สระแห่งนี้ตอนเย็น ใกล้ๆค่ำ)
เมื่อความมืดมาเยือน คุณจะเห็นน้ำสีดำขลับเป็นสีนิล ตัดกันดีเหลือเกินกับศาลากลางน้ำที่เริ่มเปิดไฟให้แสงจนโดดเด่นขึ้นมา
ทำให้สระแห่งนี้ดูเป็นสระมังกรดำที่สวยงามจริงๆ
หลังจากชมความงามของสระมังกรดำแล้ว พวกผมก็เดินกลับไปยังเมืองเก่าโดยมองหาร้านสำหรับทานมื้อเย็นกันไปด้วยซึ่งช่วงนี้ในเมืองลี่เจียงก็เปิดไฟแต่งแต้มสีสันให้เมืองสวยงามมากทีเดียว
ร้านอาหารที่พวกผมมองหาก็มีอยู่หลายร้านน่าสนใจ จนสุดท้ายก็ได้ร้านอาหารแบบอาหารจานเดียวคล้ายๆร้านข้าวแกงบ้านเราก็เลยเลือกทานมื้อเย็นกันที่ร้านนี้


หลังจากอิ่มท้องกันแล้วก็ได้เวลาออกช้อปปิ้งในเขตเมืองเก่ากันครับ ซึ่งมีร้านค้ามากมายให้ช็อปกันไม่หวาดไม่ไหว คือเยอะมากจริงๆ
โดยเราไปตั้งต้นกันที่กังหันน้ำกันก่อน
ร้านขายของตอนค่ำที่นี่มีเยอะมากจริงๆ ใครที่ชอบช็อปปิ้งน่าจะถูกใจทีเดียว
ร้านที่พวกเราตั้งเป้าอยากไปดูตั้งแต่ก่อนมาเพราะได้ข่าวว่าที่เมืองนี้ก็มีร้านแบบนี้อยู่หลายร้านนั่นคือร้านที่ขายหินธิเบตที่ตอนนั้นกำลังฮิตกันในเมืองไทย พวกเราเลยกะว่าจะลองซื้อจากต้นทางไปเลยน่าจะได้ติดไม้ติดมากลับบ้านแบบไม่แพงมาก
ราคาหินธิเบตที่นี่มีให้เลือกตั้งแต่หลักหลายพัน ไปจนถึงหลักหลายหมื่นเลย แต่หลังจากดูๆกันแล้ว พวกผมก็หันมามองหน้ากันแล้วถามกันว่ามีใครดูออกมั้ยว่าอันไหนของจริง หรือของปลอม ซึ่งทุกคนก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน
สุดท้ายพวกผมก็เลยไม่กล้าซื้อกันครับ 555 เพราะสารภาพว่าลึกๆก็แอบกลัวความขึ้นชื่อของจีนเรื่องหลอกขายของนักท่องเที่ยวเหมือนกัน เลยสรุปกันว่าไม่เอาดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย เพราะผมและเพื่อนๆเลือกที่จะซื้อกำไรหยกกลับมาเป็นของฝากให้บรรดาแม่ๆของแต่ละคนกันแทน เพราะเรื่องหยกนี่พอจะดูออกกันบ้าง ก็เลยตัดสินใจซื้อกันมาในราคาไม่แพงนัก ซึ่งพวกผมถือว่าตาถึงไม่เลวเพราะหลังกลับมาเมืองไทยแล้วเคยให้คนขายหยกตีราคาให้ปรากฎว่าได้ราคาสูงจากที่เราซื้อมาเกือบเท่าตัวทีเดียว
จากนั้นนั้น พวกผมก็ยังเดินไปช็อปปิ้งของฝากอื่นๆไปเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างเดินนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเมืองลี่เจียงทั้งสวยทั้งโรแมนติกจริงๆ ยิ่งเดินชมเมืองก็ยิ่งรู้สึกว่าเมืองนี้สวยเหลือเกิน
ในช่วงกลางคืน เมืองลี่เจียงจะเปิดไฟสีส้มฉาบเมืองไปทั้งเมืองจนทำให้เหมือนเราเดินอยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง
ยิ่งในช่วงที่ผมไปนั้นไม่แน่ใจว่าช่วงนั้นเมืองทั้งเมืองจะตกแต่งด้วยดอกไม้ทั้งเมือง ยิ่งทำให้เมืองนี้ทั้งสวย ทั้งโรแมนติกเหมือนสวรรค์บนดินจริงๆ
ยิ่งในช่วงที่ผมไป เมืองลี่เจียงมีอากาศดีมาก เรียกว่าหนาวหน่อยๆ ประมาณ 14-15 องศา ซึ่งถือว่ากำลังดี มาเดินทางกลางสีสันและดอกไม้แบบนี้ เรียกว่าโรแมนติกสุดขั้วไปเลย
อย่างที่ผมได้เกริ่นกับคุณไว้ในตอนต้นว่าจุดหมายของผมในทริปนี้คือเมืองแชงกรีล่า แต่สุดท้ายแล้วต้องบอกว่าเมืองที่ผมชอบที่สุดจนถึงขั้นตกหลุมรักคือเมืองลี่เจียงนี่ต่างหาก


ดังนั้นหากคุณอยากเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศจีน เมืองลี่เจียงเป็นเมืองที่คุณพลาดไม่ได้จริงๆ
โดยเฉพาะจดหมายฉบับหน้า ผมจะชวนคุณตื่นเช้าสักนิดเพื่อมาชมความสวยงามของคูคลองที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานานพันธุ์ในลี่เจียงครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
22.7.19