ถึง…เธอ
วันนี้จะเป็นวันที่พวกผมจะต้องเดินทางออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ นอกเมืองลี่เจียง เช้าวันนี้พวกผมนัดแนะกันแล้วว่าเราจะรีบตื่นกันแต่เช้าเพื่อขึ้นไปถ่ายรูปทะเลหลังคาเมืองลี่เจียงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ที่ด้านบนกัน
จากมุมสูงในย่านเมืองเก่า เราสามารถมองเห็นหลังคาของชุมชนที่อาศัยอยู่ในบ่านเมืองเก่านี้ต่อเนื่องติดกันไปเรื่อยๆจนมีคนตั้งฉายาให้ภาพที่เห็นนี้ว่า ทะเลหลังคาแห่งเมืองลี่เจียง
หลังจากถ่ายหลังคาเสร็จ พวกผมก็รีบ check out เพื่อไปถ่ายรูปดอกไม้สวยๆ ริมคลองในเมืองกันต่อ เพราะเมื่อคืนเราเห็นดอกไม้พวกนี้ในตอนค่ำซึ่งก็สวยงามไปอีกแบบ แต่คิดว่าในตอนเช้าดอกไม้พวกนี้น่าจะสวยมากๆ
และผมพวกเราก็คิดไม่ผิด ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ตื่นกันแต่เช้า เพราะดอกไม้ริมสายน้ำพวกนี้สวยจริงๆ สวยจนบรรยายไม่ถูกอยากให้คุณได้มาเห็นด้วยตัวเอง
ด้วยเวลาที่มีจำกัด พวกผมเลยมีโอกาสเดินชมดอกไม้พวกนี้แค่ช่วงสั้นๆ เพราะวันนี้พวกผมยังต้องออกเที่ยวกันอีกไกล ที่สำคัญยังต้องกลับมาให้ทันรถไฟเพื่อเดินทางไปคุนหมิงด้วย
พวกผมเลยรีบไปเจอคนขับรถที่ตกลงราคาไว้ตั้งแต่เมื่อวานในราคา 150 หยวน หลังจากเช็คราคาหลายคนแล้ว ส่วนใหญ่จะ 190 – 200 หยวน คุณลุงคนขับที่พวกผมนัดไว้ถือว่าราคาต่ำที่สุด
แผนการท่องเที่ยววันนี้ พวกผมจะไปดูโชว์ของผู้กำกับชื่อดัง จางอี้โหมว จากนั้นก็จะไปภูเขามังกรหยก และ ลำธารไป่สุ่ยเหอ จากนั้นก็จะกลับมายังสถานีรถไฟ
แม้จะเร่งรีบในการเดินชมดอกไม้แล้ว แต่ก็เลยเวลานัดหมายไปพอสมควร มื้อเช้าก็เลยต้องทานแบบเร่งรีบ พวกเราจึงตัดสินใจพึ่งเคเอฟซีเหมือนเดิม
หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว พวกเราก็ไปเจอคุณลุงคนขับ แต่พอขึ้นไปบนรถก็พบว่าวันนี้คุณลุงพาภรรเมีย ติดรถมาด้วย เราก็งงๆ คับว่าพามาด้วยทำไม ต่อมาถึงได้รู้ว่าโชคดีจังที่เจ๊ภรรยาของคุณลุงคนขับมาด้วย
จุดหมายแรก คุณลุงขับพาพวกผมไปแวะซื้อตั๋วเพื่อไปชม Impression of Lijaing โชว์อลังการงานสร้างของจางอี้โหมวกันก่อน
คือผมต้องเล่าให้คุณทราบถึงบุคลิกคร่าวๆของคุณลุงคนขับก่อนว่าคุณลุงคนขับจะเป็นคนนิ่มๆ สุภาพ ๆ อ่อนโน้ม ซึ่งนั่นเป็นอีกสาเหตุที่พวกผมเลือกคุณลุงมาขับรถพาเราเที่ยว แต่บุคลิกแบบนี้ก็ไม่เหมาะสมกับบางสถานการณ์เพราะพอคุณลุงเข้าไปคุยกับคนขายบัตร คุยไปคุยมาไม่รู้ยังไงกลายเป็นเหมือนคุยกันไม่รู้เรื่อง
โดนเจ๊คนขายบัตรวีนๆๆๆๆ เสียงดังใส่ แถมไล่ออกออกมาจาก Booth ขายบัตร คุณลุงเลยทำอะไรไม่ถูกแล้วก็พาผมที่ลงจากรถไปซื้อบัตรกับลุงกลับออกมาที่รถ…โดยไม่ได้บัตรมาสักใบ
พอกลับเข้ามาในรถ แกก็มาพูดอะไรไม่รู้กับเจ๊ภรรเมีย เท่านั้นเองคับ เจ๊ก็ออกอาการปรี๊ดแตก เสียงดังโวยวาย วีนใส่ลุงอีกรอบ พวกผมก็ทั้งตกใจทั้งงงว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะฟังภาษาไม่รู้เรื่อง
หลังวีนคุณลุงไปสักพัก เจ๊ภรรเมียของคุณลุงคนขับก็หันมาทางผมแล้วดึงมือผมลงไปจากรถ
ผมก็ได้แต่ตามเจ๊แกลงไปแบบงงๆ (อะไร ยังไง ทำไม???)
พอเข้าไปในออฟฟิสเท่านั้นคับ ซือเจ๊ (ต่อไปนี้ขอเรียกเจ๊ว่า “ซือเจ๊” นะคับ) ก็ลุยเลยคับ แต่ซือเจ๊ไม่ได้ไปลุยกับคนขายบัตรเมื่อกี้นะครับ ซือเจ้เดินตรงเข้าห้องผู้จัดการเลย 55
เข้าไปแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ซือเจ๊วีนแตกใส่ผู้จัดการใหญ่เลย จนผู้จัดการตกยกหูหาพนักงานขายบัตรด้านนอก
ผลสรุปสุดท้ายพวกผมก็ได้บัตรมาแบบผู้จัดการแทบจะคุกเข่ายื่นให้55
งานนี้ต้องขอบคุณซือเจ๊จริงๆ
พอรถของพวกผมออกมานอกเมืองสักพัก ฝนก็เทลงมา เหมือนจะลางไม่ดีแล้ว เพราะถ้าฝนตกการดูโชว์จะเป็นไปไม่ได้เลย
ผมขอเล่าถึงซือเจ๊อีกนิด พอซือเจ๊ได้ตั๋วมาและกลับเข้ามาในรถแล้ว แกก็หันมายิ้มให้พวกผมแล้วก็พูดอะไรไม่รู้ แต่เหมือนแบบจะบอกว่า…มากับเจ๊ ไม่ต้องกลัว ฮา
แถมระหว่างทาง หลังจากวีนใส่ลุงคนขับไปเมื่อเช้า พอเริ่มขับๆออกไปไม่นาน ทั้งคู่ก็กลับมาสวีทวี๊ดวิ้ววววกันอีก เดาใจไม่ถูกเลย
พวกผมนั่งรถไปเรื่อยๆ พอเห็นป้ายมากๆเข้าถึงได้รู้คับว่าทั้งโชว์ของจางอี้โหมว ภูเขามังกรหยก รวมทั้งธานน้ำไปสุ่ยเหอ อยู่ในบริเวณเดียวกันหมด
ทางเข้าจะต้องผ่านด่านและจ่ายค่าเข้า 80 หยวน นอกจากนั้นด่านตรงนี้จะมีการเรียกดูใบค่าบำรุงเมืองด้วย ดังนั้นตามที่ผมเคยเล่าไว้ในจดหมายเรื่อง คุณต้องเก็บใบค่าบำรุงเมืองไว้กับตัวตลอดเวลา (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยกเลิกไปหรือยัง)
คุณลุงขับรถต่อไปสักพัก ลุงคนขับก็จอดรถ ซือเจ๊ก็หันมาพูดอะไรไม่รู้ เหมือนจะให้พวกผมลงจากรถ แล้วแกก็ชี้ไปข้างนอก + ทำท่าถ่ายรูปแล้วยิ้ม
จากท่าทางใบ้คำทั้งหมดเจ๊แกคงอยากบอกว่า… ตรงนี้สวยลงไปถ่ายรูปสิ ดีนะครับเหมือนได้เล่นใบ้คำไปตลอดทาง
อีกเหตุผลที่พวกผมลงจากรถ เพราะตอนนี้ซือเจ๊บอกให้ทำอะไพวกผมก็ทำหมดคับ เพราะเห็นตอนเจ๊แกวีนแล้ว ไม่กล้าขัดใจเจ๊แกจริงๆ 55
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็ไปกันต่อ สักพักพวกผมก็มาถึงสถานที่แสดงโชว์ของจางอี้โหมว
ตอนนี้ความรู้สึกของผมที่มีต่อซือเจ๊ ไม่ใช่แค่ภรรยาของคนขับรถ แต่เป็นเสมือนแม่ที่พาลูกๆมาเที่ยว เพราะซือเจ๊แกดูแลพวกผมดีมากๆจริงๆ
อย่างการมาดูโชว์ครั้งนี้ เจ๊แกไม่มาส่งแค่ลานจอดรถ เจ๊แกพาพวกเราไปเข้าห้องน้ำก่อน (รอบคอบดีมาก) หลังจากนั้นก็พาพวกเราไปทางเข้าซึ่งดูจากความซับซ้อนของสถานที่แล้ว พวกผมไม่มีทางเดินไปเองถูกเลยคับว่าจะต้องไปเข้าประตูไหน
แต่งานนี้ผมก็รู้สึกผิดเหมือนกัน เพราะพวกผมไปยืนรออยู่นาน ประตูก็ยังไม่เปิดเลยเริ่มสงสัยว่าผิดประตูหรือเปล่า เลยเดินออกมาแล้วตามคนอื่นไปประตูอื่น
ปรากฏว่ามันไม่ใช่คับ พวกผมเลยต้องกลับมาที่เดิมซึ่งสุดท้ายพวกเราก็ได้รู้ว่ามันเป็นประตูที่ถูกต้องแล้ว (ผิดเอง ที่ไม่เชื่อเจ๊)
ณ จุดนี้ 3050 เมตรเหนือน้ำทะเล
ยิ่งใกล้เวลาแสดงเท่าไหร่ ฝนก็ยังไม่มีทีท่าที่จะหยุดตก แม้ไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้พวกผมอดเห็นภูเขามังกรหยกที่ยิ่งใหญ่ สง่างามเป็นฉากหลังของการแสดงชุดนนี้เพราะหมอกหนาจนบังทุกสิ่งทุกอย่างหมด
งานนี้พวกผมก็เลยต้องนั่งดูโชว์ท่ามกลางสายฝนเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งคนจัดงานได้แจกเสื้อฝนให้กับคนดูยืมใส่ฟรี พอเข้ามาก็เลือกหยิบได้เลยตามอัธยาสัย แต่ต้องคืนตอนดูเสร็จด้วย
Impression of Lijiang
Impression of Lijiang เป็นฝีมือของการสร้างสรรค์ของผู้กำกับชื่อดัง จางอี้โหมว (เรื่องโปรดที่ผมชอบคือ Hero คับ) ใช้นักแสดง 400กว่าคน ลงทุนด้านโปรดักชั่นไปกว่า 900 ล้านบาท
เรื่องราวจะสื่อถึงวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวนาซี (naxi)ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของที่นี่ รวมทั้งนิทานปรัมปราซึ่งเป็นเรื่องเล่าของการกำเนิดภูเขามังกรหยก
ถามว่าผมรู้ได้ไง ก็เพราะเขามีซับให้สำหรับชาวต่างชาติอย่างพวกเราคับ
วันนั้นเสียดายมากจริงๆที่ฟ้าปิดเลยอดเห็นภูเขามังกรหยกเป็นฉากหลัง ไม่งั้นโชว์นี้จะดูขลังและอลังการกว่านี้หลายเท่า
หลังจากดูเสร็จ พอพวกผมออกมาก็เจอซือเจ๊ก็มารอตรงประตูทางออกแล้ว ซือเจ๊คนนี้แกตามดูแลพวกผมอย่างดีจริงๆครับ
หลังจากชมโชว์แล้ว ซือเจ๊ก็พาพวกเราไปซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปภูเขามังกรหยก ซึ่งปกติภูเขามังกรหยกจะมีการขายตั๋วตามระดับความสูงที่ขึ้นไปเพราะแต่ละจุดจะมีแหล่งท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวไปชม แต่โดยปกตินักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะซื้อตั๋วไปเล่นหิมะกันที่ยอดเขานะคับ แต่พวกเราโชคร้ายซ้ำ2เพราะเคเบิ้ลปิดปรับปรุง แถมอากาศปิดมีฝนอีกต่างหาก วันนี้ก็เลยไม่มีตั๋วขึ้นไปจุดสูงสุดขาย
พวกผมก็เลยซื้อเฉพาะด้านล่างรองๆ ลงมา (ราคาก็ลงมาด้วย เพราะถ้าจะขึ้นไปเล่นหิมะด้านบน ราคาก็เรียกว่าขูดรีดทีเดียว)
ด้วยเวลาที่เหลือน้อยเต็มที มื้อเที่ยงวันนี้พวกผมเลยฝากไว้กับมาม่ารสจัดถ้วยนี้ (ความเผ็ดนี่ต้องบอกว่ามาม่าต้มยำบ้านเราชิดซ้ายไปเลย เผ็ดมากๆๆๆๆ)
เมื่อทานรวมกับไก่ทอด(ที่ไม่ค่อยอนามัย) ชิ้นนี้แล้ว ต้องบอกว่า…อร่อยล้ำ
อิ่มแล้วก็ได้เวลาออกเที่ยวต่อ จากจุดขายตั๋วจะต้องนั่งรถขึ้นไปคับจากนั้นก็ไปต่อด้วยเคเบิ้ลคาร์อีกรอบ แต่ระยะทางสั้นมาก แถมยังต้องซื้อตั๋วสำหรับทัวร์บนเขาอีก 40 หยวน (เก็บยิบ เก็บยับ)
ถึงตรงนี้ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับการเก็บค่าเข้าสถานที่ กับค่าโน้น ค่านี่ของประเทศนี้จริงๆ ไม่ไหวจะเคลียละครับ
ตรงนี้นี้จริงๆแล้วเป็นจุดชมวิว แต่วันนี้ไม่มีวิวให้ชม เพราะหมอกบังเกือบหมด
พวกผมยืนดูวิวกลางสายฝนไปสักพัก ก็มีคนมาสะกิด พอหันกลับไปดูปรากฎว่าเป็นซือเจ๊คับ
ผมเดาว่าเจ๊แกคงเป็นห่วงว่าพวกเราคงจะงง (ซึ่งกำลังงงจริงๆ) แกเลยขึ้นมาอธิบายว่าบัตรที่พวกแกถืออยู่น่ะ เค้าแบ่งเป็น 5 ฐาน
ให้ไปนั่งรถคันนั้นแล้วไปทีละฐาน เขาก็จะฉีกบัตรแต่ละสีออก (แปลได้ประมาณนี้หลังจากสื่อสารกันหลายนาที)

จุดชมวิวตรงนี้ถือเป็นฐานแรก ดังนั้นพวกผมกำลังไปฐานที่ 2 กัน
ฐานที่ 2 จะมีทางเดินเป็นซุ้มกระดิ่งตงปาเพื่อนำไปยังจุดชมวิวอีกจุด ถ้าในวันฟ้าใสก็คงได้เห็นภูเขามังกรหยกเป็นฉากหลัง



จากนั้นก็ไปกันต่อยังจุดที่ 3ซึ่งต้องกลับไปใช้บริการเคเบิ้ลคาร์ลงไปด้านล่างอีกรอบ
พอลงไปถึงก็เจอซือเจ๊มารออีกแล้วคับ ไม่ว่าพวกผมจะไปที่ไหนยังไง เจ๊ดักได้ตลอด น่าประหลาดใจมาก ยังกะโดนแอบติดเครื่องติดตามตัว ฮา
ซือเจ๊มาคราวนี้มาเพื่อบอกพวกผมว่า ชั้นจะลงไปรอพวกเธอที่ด้านล่างนะ ตรงจุดแรกที่ขึ้นรถมาน่ะ เจอกันตรงนั้นนะ (แปลเองอีกแล้ว พูดกันไม่รู้เรื่องหรอกนะคับ ใช้ภาษามือกับท่าทางตลอด ก็ไม่รู้เข้าใจกันถูกมั้ย)
หลังจากตกลงจุดนัดพบกับซือเจ๊แล้ว พวกผมก็ไปต่อจุดที่ 3 ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญของลี่ที่นี่เลย นั่นคือ…ลำธารไป่สุ่ยเหอคับ
ลำธารไป่สุ่ยเหอ
ลำธารไป่สุ่ยเหอ หรือธารน้ำขาว จะมีลักษณะเป็นเชิงชั้นหินปูนเป็นสีขาว ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ โดยเฉพาะยิ่งมีเจ้าวัวตัวนี้มายืนอยู่ด้วยยิ่งทำให้องค์ประกอบสมบูรณ์ขึ้นมาทีเดียว
จากตรงนี้ พวกผมก็ไปจุดที่ 4 กันต่อซึ่งเป็นสระน้ำใสเหมือนกระจกเลย
มาถึงจุดที่ 4 นี้พวกผมก็เปียกมะล่อกมะแล่กเหมือนลูกหมาตกน้ำกันหมดแล้วคับ เพราะเรียกว่าโดนฝนกันมาตลอดทาง

จริงๆ ยังมีจุดสุดท้ายที่เป็นธารน้ำตก แต่พวกผมไม่ได้ลงไปดูใกล้ๆกันเพราะตอนนั้นเปียกจนไม่ไหวแล้ว พวกผมเลยนั่งรถกลับไปด้านบนเลย

ตอนขากลับเพื่อไปเจอกับป้าซือเจ๊นี่เองก็ได้เจอกับเรื่องระทึกคับ เพราะพอรถที่เรานั่งมาถึงจุดจอดด้านล่างจุดหนึ่ง พวกผมเห็นคนลงกันหมดทั้งคันเลย พวกผมก็เลยตัดสินใจลงจากรถไปด้วย (ผมมาทราบทีหลังว่าที่ลงกันหมดทั้งคันเพราะทั้งหมดเป็นกรุ๊ปทัวร์กรุ๊ปเดียวกัน ต้องเรียกว่าถึงคราวซวยจริงๆครับ)
ปัญหาคือจุดที่พวกเราลง มันไม่ใช่จุดแรกที่เราขึ้นรถไปบนเขา และไม่ใช่จุดที่นัดพบกับซือเจ๊ของพวกผม รถที่ลงมาจากเขานั้นจะจอด 3 จุด จุดที่ผมกับป้าซือเจ๊นัดกันคือจุดสุดท้ายเลย
ตอนนั้นใจหายเลยคับ ไม่ใช่แค่กลัวกลับไม่ได้ แต่กระเป๋าทั้งหมดอยู่ในรถลุงกับป้าหมดเลย พวกเราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย
โชคดีที่ลุงให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ ผมก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา แล้วให้คนจีนแถวนั้นช่วยพูดให้ จนได้ความว่าให้รอลุงกับป้าที่นี่ ไม่ต้องไปไหน
ถึงอย่างนั้นแล้ว ใจก็ยังตุ้มๆ ต่อมๆ ครับว่าป้าจะหาเราเจอหรือเปล่า คนจีนเมื่อกี้จะคุยรู้เรื่องจริงมั้ย
รอไปสักพักใหญ่เลยคับ รถลุงกับป้าก็ขับเข้ามา ตอนที่เห็นรถลุงกับป้าเข้ามานั้น พวกผมดีใจกันมาก ยิ่งตอนที่เจอกัน ทั้งพวกผมและป้าโผเข้ากอดกันเหมือนแม่ลูกกันจริงๆ
นึกถึงวันนั้นแล้วยังรู้สึกซาบซึ้งอยู่เลย เพราะป้าซือเจ๊เป็นห่วงเรามาก ขนาดขึ้นรถแล้วยังบ่นตลอดเลย บ่นด้วยสีหน้าที่เหมือนเป็นห่วงพวกเราจริงๆ เหมือนแม่ที่ดุลูกเวลาที่ไปเที่ยวเล่นแล้วหลงทาง
ไม่น่าเชื่อนะคับ ว่ามิตรภาพที่ยิ่งใหญ่นี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่สั้นๆ จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลย
ในที่สุดลุงกับป้าก็นำพวกเราก็มาถึงสถานีรถไฟโดยปลอดภัย
เมื่อถึงสถานีรถไฟแล้วสิ่งแรกที่พวกผมต้องทำคือไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดหน้าเช็ดตัวกันก่อนเลย เพราะสภาพพวกผมตอนนั้นเรียกว่าเปียกมะล็อกมะแล็กเหมือนลูกหมาตกน้ำกันเลย

วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกเหมือนผ่านศึกหนักมาเยอะมาก แต่ก็อิ่มใจและประทับใจมากๆเช่นกันครับ
พวกผมนั่งรอไปสักพักก็ได้เวลาขึ้นรถคับ ทางสถานีก็จะเปิดให้ผู้โดยสารเข้าไปยังชานชาลาซึ่งจะอยู่ด้านบน รู้สึกว่ารถไฟขบวนนี้จะเป็นต้นทางเลย
เมื่อขึ้นรถไฟจากลี่เจี่ยงเพื่อกลับคุนหมิงแบบมะล่อกมะแล่กเพราะโดนฝนกระหน่ำมาทั้งวัน ทันทีที่เห็นสภาพในรถไฟ พวกผมก็หายสลึมสะลือเป็นปลิดทิ้งเลยคับ เพราะที่นั่งที่พวกผมจองไว้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
ตอนที่ผมไปซื้อตั๋วนั้น ผมพยายามสื่อสารกับคนขายตั๋วว่าขอห้องโดยสารที่มี 4 เตียงใน 1 ห้อง เพราะพวกผมอยากได้ห้องที่เป็นส่วนตัวหน่อย
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ…ไม่มีห้องใดๆ ทั้งนั้น เป็นเตียงนอนแบบเปิดโล่ง
ที่สำคัญ…เป็นเตียง 3 ชั้น…โอ้แม่เจ้า หลังจากเจอรสนอนแบบเตียง 2 ชั้นแล้ว รถไฟก็สามารถทำเตียงสูงขึ้นไปถึง 3 ชั้นได้ด้วย Amazing มากๆครับ
โชคดีนะคับที่พวกผมได้เตียง 2 ชั้นล่าง ขืนต้องปีนขึ้นไปถึงชั้น 3 แล้วเกิดหลับละเมอตกลงมา ไม่อยากคิดเลยคับว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ถึงอะไรจะไม่เป็นไปตามที่คาด แต่ภายในขบวนรถไฟก็ดูสะอาดดีครับ ทั้งที่นอนและผ้าห่ม
โดยส่วนตัวสำหรับผมแล้ว ดีกว่านอนในรถบัสเยอะเลยคับ อย่างน้อยก็มีพื้นที่มากกว่า โล่งกว่า อากาศเลยถ่ายเทสะดวกกว่า
ข้อดีอีกอย่างคือมีอ่างล้างหน้า กับ ห้องน้ำให้เข้าตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวไปเจอห้องน้ำธรรมชาติตามจุดพักรถเหมือนกับการนั่งรถบัส
คืนนั้นด้วยความที่เปียกปอนกันมาทั้งวันและเหมือนจะผ่านอะไรกันมาเยอะมาก พวกผมเรียกว่าพอหัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับเป็นตายเลยครับ
เป็นอีกวันคืนที่รู้สึกสนุกคุ้มค่า โหดมันฮา ในแบบฉบับของการท่องเที่ยวแบบ Backpack จริงๆ
จดหมายฉบับหน้า ผมจะกลับมาพร้อมกับจุดหมายสุดท้ายของเราในทริปนี้ นั่นคือเมืองคุนหมิง แล้วรออ่านนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
27 / 7 / 2019
One Comment Add yours