ถึง…เธอ
จดหมายฉบับนี้จะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายแล้วใน Series ทริปสู่แดนสวรรค์ ต้าลี่ แชงกรีล่า ลี่เจียง ประเทศจีน ซึ่งถือเป็นทริปที่มีรสชาติการเดินทางที่ครบรสมากที่สุดทริปหนึ่งในการเดินทางของผม
ในวันสุดท้ายของการเดินทาง ผมจะท่องเที่ยวในเมืองคุนหมิงซึ่งจริงๆแล้วเป็นเมืองแรกที่ผมเดินทางมาถึง แต่พวกผมเก็บไว้เที่ยวเป็นเมืองสุดท้ายเนื่องจากเราจะได้บินกลับเมืองไทยได้เลยในวันเดียวกัน
พวกผมขึ้นรถไฟจากลี่เจียงมาตั้งแต่เมื่อคืน ราวๆ ตี 5 ก็มาถึงคุนหมิงโดยสวัสดิภาพ และเป็นค่ำคืนที่ผมหลับสนิทมาก เพราะเมื่อวานพวกผมผจญทั้งลมและฝน รวมทั้งเรื่องตื่นเต้นมากมายดังที่ผมเขียนมาเล่าให้คุณอ่านแล้วในตอน ทริปสู่แดนสวรรค์ ต้าลี่ แชงกรีล่า ลี่เจียง ประเทศจีน Part 6 : Day 5 ลี่เจียง #2
สิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนสำหรับการโดยสารรถไฟในประเทศจีน (ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีกฎนี้หรือไม่) นั่นคือก่อนออกจากสถานีรถไฟจะมีการตรวจตั๋วอีกครั้งจึงจะออกไปได้ ดังนั้นต้องเก็บตั๋วรถไฟติดตัวไว้จนกว่าจะออกจากสถานีนะครับ
หลังจากออกจากจุดตรวจตั๋วและสถานีรถไฟมาแล้ว พวกผมก็มองหาป้ายไปจุดรอแท็กซี่
จากสถานีรถไฟ พวกผมเรียกแท็กซี่ไปสนามบินกันก่อน เพื่อเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่เคาร์เตอร์ฝากกระเป๋าที่สนามบินเนื่องจากตอนหาข้อมูลไม่พบที่ฝากกระเป๋าในเมืองคุนหมิง ไหนๆพวกผมก็มาถึงเช้ามากอยู่แล้ว เลยคิดว่าเอากระเป๋าไปฝากให้เรียบร้อยที่สนามบินเลยดีกว่า
ค่ารถ Taxi จากสถานีรถไฟคุนหมิงไปสนามบินก็ไม่แพงเลยแค่ 10 หยวนเท่านั้น
หลังจากฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เรียกแท็กซี่กลับไปที่ประตูม้าทองไก่หยกซึ่งเป็นเสมือนศูนย์กลางของเมืองคุนหมิง โดยใช้วิธีโชว์รูปให้คนขับแท็กซี่ดูค่าโดยสารประมาณแค่ 15 หยวน
ตอนที่พวกผมมาถึงประตูม้าทองไก่หยกนั้นก็ยังมืดอยู่ พวกผมเลยแวะไปทานมื้อเช้ากันก่อนที่แม็คโดนัลล์ซึ่งเปิด 24 ชั่วโมงและอยู่ใกล้กับประตูเมืองเลย
พอฟ้าใกล้สางพวกผมก็เดินออกไปยังประตูม้าทองไก่หยก
ประตูม้าทองไก่หยก
คุนหมิงเป็นเมืองหลวงของมณฑลยูนนาน มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,890 เมตร เป็นเมืองที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปีจึงเป็นเมืองที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของดอกไม้พันธุ์ต่างๆ เมืองคุนหมิงจึงได้สมญานามว่า “นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ”
กลางเมืองคุนหมิงจะมีซุ้มประตูซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่เก่าแก่ที่สุดของคุนหมิง มีชื่อเรียกว่า “ซุ้มประตูม้าทองไก่หยก” (จินหม่าและปี้จี) โดยซุ้มม้าทองไก่หยกมีอายุเกือบ 400 ปี สร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง
ถนนบริเวณประตูม้าทองไก่หยกนี้ถือเป็นถนนค้าขายเก่าแก่ของเมืองคุนหมิง ปัจจุบันเป็นแหล่งเสื้อผ้ากระเป๋าแบรนด์เนมทั้งของจีนและต่างประเทศ เครื่องประดับและอัญมณี รวมทั้งร้านอาหารมากมาย
แต่พวกผมสนใจอาหารพื้นเมืองรอบบริเวณนี้มากกว่า

จากประตูม้าทองไก่หยก พวกผมเรียก Taxi ไปเริ่มเที่ยวกันที่วัดหยวนทง (Yuantong Temple)
วัดหยวนทง (Yuantong Temple)
เป็นวัดที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเมืองคุนหมิง มีอายุมากกว่า 1,200 ปี โดยวัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาถึง 3 นิกาย มีลักษณะเป็นทั้งวัดจีน วัดไทย และวัดพม่า
วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่กวนอิมมาก่อน และถูกสร้างเป็นวัดขึ้นมาในราชวงศ์ถัง แต่วัดแห่งนี้ถูกทำลายลงในราชวงศ์หมิง แล้วก็ถูกบูรณะใหม่โดยอู๋ซานกุ้ย ในราชวงศ์ชิง
ไปถึงก็จ่ายค่าเข้าประตูคับ 6 หยวน
ทางเข้าจะมี “ปี่ซี่” หรือลูกมังกรอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา หากคุณอยากจะขอพร มีความเชื่อว่าให้ลูบที่จมูกและอธิษฐานครับ

จากปี่ซี่จะเจอประตูเก่าแก่ของวัดแห่งนี้ที่มีการบูรณะใหม่ เป็นทางเข้าสู่วัดอย่างเป็นทางการ
วิหารแรกของวัดนี้จะเป็นวิหารของพระสังกัจจายน์ ซึ่งจะมีลักษณะต่างกับพระสังกัจจายน์ที่คุณเคยเห็น เพราะพระสังกัจจายน์ที่ผมและคุณคุ้นเคยจะมีความอ้วนท้วนสมบูรณ์บ่างบอกถึงความมั่งมี แต่พระสงกัจจายน์ที่วัดนี้จะมีรูปร่างปกติ เหมือนพระพุทธรูปทั่วไป
ด้านหน้าจะมีธูปเทียน ให้หยิบไหว้ขอพรตรงนี้ได้เลยครับ
ตรงกลางของวัดจะตำหนักกลางน้ำที่มีลักษณะศาลาทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่ตรงกลางสระมรกต ด้านในจะเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิมพันมือ ซึ่งคนนิยมมาขอพรเรื่องลูกและคู่ครอง
การตกแต่งของวัดนี้จะมีสิ่งมงคลที่เป็นความเชื่อของคนจีนอยู่หลายจุดเลย
หลังจากตำหนัก 8 เหลี่ยมจะเป็นตำหนักสุดท้ายซึ่งจะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ คือองค์อดีต ปัจจุบันและอนาคต
อาคารส่วนสุดท้ายเป็นอาคารที่ประดิษฐาน พระพุทธชินราช(จำลอง) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานและโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ ที่วัดแห่งนี้ด้วย เสียดายที่ผมเพิ่งมาทราบหลังจากกลับมาแล้วจึงไม่ได้ไปกราบนมัสการครับ
เสร็จจากวัดหยวนทง พวกผมก็เรียกแท็กซี่ไปกันต่อที่วัดตำหนักทองซึ่งใช้เวลาเดินทางมากกว่าที่คิดเพราะออกไปนอกเมืองค่อนข้างไกล และอยู่บนเขาดังนั้นจึงต้องใช้เวลาเดินชมพอสมควร ดังนั้นหากคุณมีแผนจะบินกลับวันเดียวกันเลยแบบพวกผม ก็คงต้องเผื่อเวลาดีๆครับ
วัดตำหนักทอง หรือตำหนักจินเตี้ยน
ตั้งอยู่บนภูเขาหมิงฟ่งซาน ด้านทิศตะวันออกจองตัวเมืองคุนหมิง ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงและได้รับการบูรณะโดยอู๋ซานกุ้ย ผู้ปกครองดินแดนแถบนี้ในสมัยราชวงศ์ชิง ตำหนักหลังนี้มีความสูง 6.7 เมตร กว้างและยาว 6. 2 เมตร สร้างขึ้นด้วยทองเหลืองทั้งหลัง น้ำหนักกว่า 250 ตัน เป็นสิ่งปลูกสร้างทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของจีน มีกำแพงและป้อมล้อมรอบตำหนักเสมือนกำแพงที่ล้อมรอบเมือง มีกระบี่เจ็ดดาวน้ำหนัก 12 กิโลกรัม และดาบกายสิทธ์น้ำหนัก 20 กิโลกรัมถูกเก็บรักษาไว้ในศาลา เชื่อว่าทั้งสองเป็นอาวุธประจำกายของอู๋ซานกุ้ย
เมื่อจ่ายค่าบัตรตรงทางเข้าแล้ว ทางวัดมีบริการรถขึ้นไปชมวัดให้ด้วยโดยจะแวะตามจุดต่างๆ ซึ่งก็เสียเวลาพอสมควร พวกผมเลยใช้วิธีนั่งรถขึ้นตรงดิ่งไปที่จุดสูงสุดของวัดเลย แล้วค่อยๆ เดินลงมา

จากจุดบนสุดของทางวัดจะสามารถชมวิวเมืองคุนหมิงได้ด้วย ซึ่งจะมีหอระฆังอยู่ด้านบนที่สามารถขึ้นไปชมได้ครับ
แต่บริเวณที่นักท่องเที่ยวไปรวมตัวกันมากที่สุดคือบริเวณรูปปั้นสัตว์ต่างๆ ที่มีอยู่หลายตัวในบริเวณนี้
สาเหตุที่นักท่องเที่ยวมารวมตัวกันที่บริเวณนี้ ก็เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเอามือไปลูบรูปปั้นสัตว์ในบริเวณนี้แล้วจะได้คุณสมบัติเด่นของสัตว์เหล่านั้นมาด้วย
รูปปั้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือรูปปั้นสัตว์4 ตัว ที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด หากรูปสัวต์ตัวไหนจะมีโชคทางด้านนั้นด้วย เช่นหากินเก่งเหมือนหมูป่า ฉลาดเหมือนงู น่าเกรงขามเหมือนเสือ แต่เหมือนส่วนที่มีการลูบมากที่สุดจนทำให้จมูกขึ้นเงาแวววับเลย

จากนั้นพวกผมก็เดินชิวๆไปเรื่อยๆเพื่อไปตำหนักทอง ระหว่างก็มีทั้งความร่มรื่นและอะไรให้ชมไปตลอดทางเลย รวมทั้งมีสิ่งศักดิ์ให้สักการะด้วย
วัดทอง (Golden Temple) เป็นวังของ ไท่เหอ เจ้าลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นวัดทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในจีน สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงในปี 1602 ในช่วงนั้นข้าหลวงผู้ซึ่งเคร่งครัดในลัทธิเต๋า ได้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าจื่อซื่อ ตามตำนาน ว่า จื่อซื่อมีตำหนักทองอยู่ทางปลายสุดทางด้านเหนือของจักรวาล
หลังจากได้รับความเสียหายเพราะสงคราม ในปี 1890 จักรพรรดิ กวางซู่ได้สั่งให้ ซ่อมแซม โดยใช้ ก้อนทองสำริดถึง 250 ตัน ในการบูรณะวัดทั้งหลัง ยกเว้นในส่วนของขั้นบันได และราวระเบียง ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อน กำแพง เสา คาน หลังคา กระเบื้อง แท่นบูชา พระพุทธรูป กำแพงรอบๆภายในวัดตกแต่งด้วยทองแดงดูแวววาวดั่งทอง คนจึงเรียกว่า วัดทอง หรือตำหนักทองนั่นเอง
สักการะกันเสร็จก็รีบออกมาเพื่อมาเรียกแท็กซี่เพื่อกลับไปสนามบินคับ เพราะตอนนั้นพวกผมเสียเวลาไปมากแล้ว
ปรากฎว่าไม่มีแท็กซี่มาเลยคับ มีแต่รถเมล์ที่จอดเหมือนเป็นต้นสายอยู่ที่ด้านล่าง
โชคดีนะคับวันนั้นมีคนเรียกแท็กซี่เข้ามาที่วัดพอดี เราเลยได้ใช้บริการต่อ เพราะฉะนั้นใครมาที่นี่ถ้าไม่เหมารถ ควรเผื่อเวลาให้ดีนะครับ
จริงๆ คุนหมิงมีแหล่งช็อปปิ้งเยอะมาก แต่พวกผมกลัวจะตกเครื่องกัน และทุกคนในทริปก็ไม่มีใครบ้าช้อปก็เลยตัดสินใจตรงไปสนามบินเลยดีกว่า รวมทั้งตัดสินใจไปทานมื้อเที่ยงกันที่สนามบินด้วย
ทริปตามหาแดนสวรรค์ในครั้งนี้ให้ประสบการณ์มากมายกับพวกผม เป็นการเดินทางที่โหด มัน ฮาที่ต้องเก็บไว้ในความทรงจำ เป็นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศจีนที่ยังมีความดิบอยู่มาก ทุกอย่างไม่ได้พัฒนาจนมีความทันสมัยและสะดวกอย่างทุกวันนี้เลย ถึงแม้จะเจอความลำบากบ้าง (โดยเฉพาะเรื่องห้องน้ำ) แต่ประสบการณ์ในครั้งนี้ให้อะไรกับพวกผมมากมายจริงๆ ทั้งเรื่องความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวและผู้คนซึ่งผมโชคดีผมได้พบกับผู้คนที่ดีมีน้ำใจตลอดทางเลย
ถ้าถามว่าพวกผมได้เจอกับดินแดนสวรรค์สมตามที่เราคาดหวังหรือไม่ ผมขอตอบว่าพวกผมเจอดินแดนแห่งนั้นตลอดทางด้วย แต่มันไม่ได้เป็นแดนสวรรค์ที่เป็นพื้นที่หรือมีตัวตนเป็นหลักแหล่ง แต่มันคือแดนสวรรค์ที่เกิดขึ้นในใจของพวกเรา เป็นความสุข สนุกสนาน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่พวกเรามีไปตลอดทาง เหมือนดังคำกล่าวในพุทธศาสนาที่ว่า..สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
ผมหวังว่าวันหนึ่งคุณคงมีโอกาสไปค้นพบแดนสวรรค์เหล่านี้ด้วยตัวเองที่คุนหมิง ต้าลี่ ลี่เจียง และแชงกรีล่าบ้าง
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
29.7.19