ถึง….เธอ
ก่อนที่ผมจะเล่าถึงประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของผมใน Series ใหม่ ผมอยากเขียนบันทึกถึงสถานการณ์ร้ายแรงที่โลกเผชิญอยู่ในเวลานี้นั้นคือการแพร่ระบาดของ Corona Virus ที่มาเปลี่ยนชื่อเป็น Covid-19 ในภายหลัง ซึ่งตอนนี้องค์การอนามัยโลกได้ยกระดับการระบาดเป็น Pandemic หรือการระบาดทั่วโลกแล้ว
การระบาดนี้เริ่มจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน ก่อนจะลุกลามแพร่ขยายไปทั่วโลกจนถึง ณ วันนี้ที่ผมเขียนจดหมายถึงคุณได้มีผู้คนทั่วโลกติดเชื้อไปแล้ว 595,000 คน มีคนตายสูงถึง 27,000 กว่าคน โดยเฉพาะประเทศ จีน อิตาลี อิหร่าน สเปน อเมริกา และประเทศอื่นๆในยุโรป ถือเป็นยอดผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดที่สูงที่สุดเท่าที่คนในรุ่นเราพบเจอมา
ส่วนประเทศไทยเอง ผมว่าเราค่อนข้างควบคุมได้ดีมาในระยะแรก จนกระทั่งเราก็หนีไม่พ้นการระบาดที่ตอนนี้มีคนไทยติดเชื้อไปแล้ว 1,245 คน แต่ยังโชคดีที่มีคนเสียชีวิตแค่ 6 รายเท่านั้น
มาตรการหลายอย่างถูกนำมาใช้โดยเฉพาะการจำกัดการชุมนุมของคนหมู่มาก มีการปิดผับ อาบอบนวด โรงภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งฟิตเนตที่ผมไปทุกวันก็ต้องปิดตัวลงชั่วคราว
บริษัทผมเองก็เริ่มใช้มาตรการ Work-from-home เป็นครั้งแรก ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เราต่างประสบ และทุกคนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองไปไม่มากก็น้อย
ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนถึงก่อนเพราะการระบาดในครั้งนี้เป็นเรื่องไม่คาดฝัน ไม่มีใครคิดว่าวันจะเกิด แม้กระทั้งวันที่มันเกิดแล้วในประเทศจีนก็คงไม่มีใครคิดว่ามันจะลุกลามใหญ่โตจนระบาดไปทั้งโลกแบบนี้
ความไม่แน่นอนแบบนี้ มันคล้ายๆกับสถานการณ์ที่ผมเจอซึ่งเกี่ยวข้องกับทริปที่ผมกำลังจะเขียนเล่าให้คุณอ่าน แต่เหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นแค่ระดับประเทศ ยังไม่รุนแรงขนาดต้องปิดประเทศหรือทำให้คนหยุดการเดินทางเหมือนตอนนี้
ทริปที่ผมกำลังจะเขียนมาเล่าให้คุณอ่านในคราวนี้เป็นการเดินทางไปชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ต้องบอกว่า มหัศจรรย์ และยิ่งใหญ่จริงๆ นั่นคือนครวัดซึ่งอยู่ในเมืองเสียมเรียบ
เมืองเสียมเรียบนี้ นอกจากนครวัดแล้วยังมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่อีกมากมายที่คุณควรจะไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต
ทริปกัมพูชาคราวนั้นของผมไม่ได้เป็นทริปที่ผมตั้งใจจะไปตั้งแต่แรก จริงๆแล้วผมและเพื่อนๆ มีแผนที่จะเดินทางไปชมซากุระกันที่ประเทศญี่ปุ่น
แต่อย่างที่ผมเขียนไว้ตอนต้น สิ่งที่เราไม่คาดฝันอาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา ในปี 2554 นั้นก็เช่นกัน อยู่ดีๆประเทศญี่ปุ่นก็โดนแผ่นดินไหว และสึนามิเข้าถล่ม ทำให้คนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในเมืองฟุกุชิมะยังเกิดระเบิดจนทำให้กัมมันตรังสีปริมาณมหาศาลไหลออกมาด้านนอกแผล่ขยายไปหลายเมืองรวมถึงโตเกียว การไปญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นจึงไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง
พวกผมจึงต้องเททุกอย่างในเกือบวินาทีสุดท้าย แต่เนื่องจากลาหยุดไปแล้วจึงไม่อยากยกเลิก เดี๋ยวจะเสียฤกษ์การเดินทาง 555พวกผมจึงพยายามหาที่เที่ยวใหม่
เริ่มจากออสเตรเลียก็เจอตั๋วเต็มยาว ย้ายไปเนปาล พอเช็คข้อมูลก็น่าจะเตรียมตัวไม่ทัน สรุปเลยเปลี่ยนเป็นซื้อทัวร์ Grand Egypt ก็โดนยกเลิก 1 สัปดาห์ก่อนเดินทางเพราะกรุ๊ปทัวร์ดันไม่เต็ม ( มึนตึ๊บมากครับตอนนั้น)
ไปไกลๆ ถ้าจะไม่เวิร์ค ผมเลยลองมาหัมานประเทศใกล้ตัว เริ่มจากแค่ชิวๆเปลี่ยนบรรยากาศไปสิงคโปร์ก็ไม่มีตั๋วอีก จนสุดท้าย นครวัด ก็แว่บขึ้นมา แล้วทุกคนก็เห็นด้วย คิดเหมือนกันว่าเป็นของดีใกล้ตัวที่พวกเราอาจจะลืมไป จึงสรุปกันว่าไปนครวัด กัมพูชากันนี่แหละ แต่………..
พอคอนเฟิร์มตั๋วพร้อมจ่ายตังค์ปุ๊บ ทีวีก็ออกข่าว…เขมรยิงระเบิดใส่ไทย…ทันที
โอ๊ยยย มันจะอะไรกันนักกันหนา #$%^&^$#$##$$
เนื่องจากในช่วงนั้นไทยกับกัมพูชาก็อึมครึมกันมาสักพักจากกรณีเขาพระวิหาร
จากตอนแรกที่ตั้งใจจะเที่ยวเอง เจอเหตุการณ์แบบนี้เลยตัดสินใจหาเอเย่นต์ทัวร์มาช่วย โดยเดินทางไปเองแต่ให้บริษัททัวร์จัดการเรื่องการนำเที่ยว เป็นกลุ่มเฉพาะแค่พวกเราเท่านั้น
ช่วงก่อนเดินทาง ผมอ่านข่าว นสพ กับดูข่าวทีวีแล้วก็เริ่มนอยด์ๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายๆ สถานการณ์ดูเหมือนจะมีแต่จะแย่ลง
แม้จะได้รับการยืนยันว่าเสียมเรียบมีความเจริญมาก ผู้คนล้วนอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว มีความเป็นมิตร และต้อนรับนักท่องเที่ยวไทยมากกว่าเมืองอื่นๆ
แต่พวกผมก็ยังไม่ค่อยสบายใจ จนคืนสุดท้ายก่อนเดินทางผมให้บริษัททัวร์เช็คข่าว ก็ได้รับคำตอบจากไกด์ที่อยู่ทางโน้นว่าไม่มีอะไร บ้านเมืองสงบ พร้อมฝากข้อความมาถึงพวกผมว่า
“ขอให้มาเถอะคับ ผมจะปกป้องดูแลพวกพี่เขาเอง มาเถอะ ผมขอร้อง”
ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรยังไง แต่พอได้ยินประโยคนี้ มันเหมือนรู้สึกถึงความจริงใจและมุ่งมั่นของคนพูด เรียกว่าถูกชะตาตั้งแต่ยังไม่เจอหน้า
ก็เลยสรุปกันว่า..เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน
โชคดีที่อยู่ดีๆ วันที่ผมจะเดินทางก็มีประกาศหยุดยิงจากทั้ง 2 ฝ่ายออกมาพอดี คราวนี้ผมก็เลยได้เดินทางไปอย่างสบายใจ(ขึ้น)
จากจุดเริ่มต้นที่ทริปนี้เป็นทริปอะไหล่ แถมมีสถานการณ์ล่อแหลมจนอาจนำไปสู่สงครามระหว่างประเทศได้ใครจะคิดว่า การเดินทางของผมในครั้งนั้นทำให้ผมค้นพบความจริงหลายๆอย่างที่ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อประเทศนี้ไปโดยสิ้นเชิง
เป็น “ความรัก” (สถานที่และผู้คน) ในระหว่างรบ เหมือนชื่อหัวข้อจดหมายในคราวนี้
ทริปกัมพูชาในครั้งนี้แม้ Highlight จะอยู่ที่นครวัดซึ่งเป็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แต่ผมยังมีโอกาสได้ไปเยือนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติซึ่งล้วนแต่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจทั้งสิ้น




นอกจากนั้นไหนๆ ไปกัมพูชาแล้วก็อยากจะเก็บให้ครบ พวกผมจึงตัดสินใจเดินทางไปพนมเปญด้วยเพื่อไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์และชมสถานที่จริงในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจที่มีการเข่นฆ่าประชาชนเขมรไปถึง 3 ล้านคนที่คุกโตนแสลง และ Killing Field ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

การไปเยือนสถานที่แบบนี้ ผมต้องแนะนำคุณก่อนว่าต้องใจแข็งมากจริงๆ มันไม่ได้เป็นความกลัวเรื่องภูตผีวิญญาณ มันคือความรู้สึกหดหู่ รันทด เสียใจที่ทำไมคนด้วยกันถึงทำอะไรโหดร้ายทารุณกับคนด้วยกันมากขนาดนี้
เนื่องจากสถานที่ๆผมไปเยือนในทริปนี้มีมากค่อนข้างมาก ผมจึงจะแบ่งการเขียนมาเล่าให้คุณฟังเป็นตอนๆ เช่นเดิมดังนี้
รักระหว่างรบ Cambodia Trip : นครวัด เสียมเรียม พนมเปญ , กัมพูชา Part 1 : Intro
รักระหว่างรบ Cambodia Trip : นครวัด เสียมเรียม พนมเปญ , กัมพูชา Part 2 : ประเทศกัมพูชา
รักระหว่างรบ Cambodia Trip : นครวัด เสียมเรียม พนมเปญ , กัมพูชา Part 3 : Day 1 Bangkok – Siem Reap
หวังว่าประสบการณ์การเดินทางในคราวนี้ที่ผมจะเขียนมาเล่าให้คุณอ่านจะทำให้ให้คุณออกเดินทางอีกครั้ง
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome