ถึง….เธอ
กลับมาอีกครั้งนะคับกับทริปรักระหว่างรบในประเทศกัมพูชาซึ่งวันนี้เป็นวันที่สามแล้วในการเดินทางเยือนประเทศนี้เป็นครั้งแรกของผม
หลังจากจดหมายฉบับที่แล้ว ผมได้นำคุณไปสัมผัสถึงอดีตอันยิ่งใหญ่ของคนเขมรให้ได้ชมกันแล้ว โดยเฉพาะ..นครวัด..สถานที่ๆ ความยิ่งใหญ่ของมันทำให้มีคำกล่าวที่ว่า
“See Angkor Wat before you die”
ซึ่งโดยส่วนตัวผมมันก็เป็นไปตามคำกล่าวนั้นจริงๆ เพียงแต่นอกจากนครวัดแล้ว ผมคิดว่ายังมีอีกสถานที่หนึ่งที่คุณเองก็ควรไปเห็นให้ได้ก่อนตายเช่นกันนั่นก็คือ …”บายน (Bayon)”
และถ้าวัดจากความชอบส่วนตัว ผมเองกลับคิดว่าบายนในนครธมเป็นสถานที่ๆต้องรีบไปเห็นก่อนตาย ให้ได้ยิ่งกว่านครวัดเสียอีก
เมืองเสียมเรียบของประเทศกัมพูชาเป็นจังหวัดที่มีปราสาทอยู่มากมายจริงๆคับเพราะอดีตเคยเป็นฐานอำนาจเก่าของขอมและโดยธรรมเนียมของกษัตริย์สมัยนั้นเมื่อขึ้นครองราชย์ก็มีราชนิยมที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าและประกาศอำนาจของตัวเอง สรุปคือต้องมีเทวสถานของตัวเอง..ว่างั้น
นอกจากนั้น ประวัติศาสตร์ขอมยังแสดงให้เห็นว่าชาวเมืองขอมในอดีตได้มีการย้ายเมืองไปมาอยู่ตลอดเวลาเลยทำให้เสียมเรียบมีปราสาทให้ชมแบบจุใจกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ อย่างกว้างขวาง
ผมขอทบทวนความรู้กับคุณหน่อยว่าจดหมายฉบับที่แล้วผมได้นำคุณไปเที่ยวกลุ่มปราสาทยุคแรกๆ ของขอมนั่นคือ บากอง / พระโค และ โลเลย
จากนั้นช่วงบ่ายก็กลับมาต่อกันที่ นครวัด
ระหว่างทางไปนครวัด คุณจะสังเกตเห็นกำแพงเมืองและประตูเข้าเมืองขนาดใหญ่ กำแพงและประตูที่คุณเห็นนั้นก็คือกำแพงของเมืองนครธมซึ่งจะมีเทวสถานที่ชื่อ “บายน”อยู่ใจกลางเมืองนี้
ส่วนรอบนอกของนครวัดจะมีปราสาทที่อยู่บนเขาพนมบาเค็ง อีกที่ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกกัน
ที่ผมหยิบยกนครธมและบายน ขึ้นมาเล่าให้คุณอ่านก่อนเนื่องจากเป็นสถานที่ๆผมประทับใจมากครับ แต่วันที่ 3ในเสียมเรียบผมไม่ได้เริ่มที่นครธมนะคับ
ช่วงเช้าผมจะไป แปรรูป และ ปราสาทตาพรหมที่โด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider
ปราสาทแปรรูป
เป็นเทวสถานประจำรัชกาลของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ก่อนที่พระองค์จะย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองพระนคร โดยปราสาทแปรรูปแห่งนี้ พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ทรงสร้างเพื่ออุทิศถวายให้แก่พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม
คำว่า “แปรรูป”หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หรือก็คือการเกิดไปสู่การตาย เพราะฉะนั้นปราสาทแปรรูปจึงมีสถานที่เผาศพด้วย
ปรางค์ประธานของปราสาทแปรรูป ถูกสร้างอยู่เหนือฐานอิฐ 3 ชั้น แต่ละชั้นมีขั้นบันไดขึ้นไป 12 ขั้น มีรูปทรงลักษณะคล้ายปิรามิด โดยมีปรางค์บริวารทั้ง 4 อยู่บนฐานเดียวกัน
และที่ปรางค์ประธานนี้เองจะมีทับหลังที่มีภาพสลักของพระอินทร์ ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันออก โดยจะสังเกตุเห็นพวงพวงมาลัย และภาพแกะสลักดอกไม้ต้นไม้ต่างๆ ซึ่งถือเป็นต้นแบบของศิลปะในยุคแปรรูป
ปรางค์บริวารด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีภาพสลักของเทพธิดาและปูนปั้นของพระนางลักษมีและพระวิษณุ ภาพสลักของพระนางอุมาเทวีและพระศิวะ ส่วนปรางค์ประธานที่อยู่ตรงกลางจะมีภาพสลักของพระพรหม
ด้านล่างจะมีอาคารสำหรับเผาศพ ซึ่งจะมีช่องไว้สำหรับให้ควันออกไปข้างนอก
ข้างๆกันจะมีที่ล้างกระดูก เมื่อเผาศพเสร็จก็จะเอากระดูกมาล้างตรงนี้
รอบๆ ปราสาทแปรรูปจะมีหมู่อาคารอีกมากมาย สันนิษฐานว่าไว้สำหรับ ทำพิธีกรรม หรือ นั่งสมาธิ
จากปราสาทแปรรูป ผมก็เดินทางไปกันต่อที่ปราสาทตาพรหม ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน
ปราสาทตาพรหม
เป็นปราสาทหลวงของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดา (สังเกตว่ากษัติรย์ขอมนอกจากจะสร้างปราสาทถวายเทพแล้ว ก็มักจะสร้างให้พ่อหรือแม่ด้วย)
จุดเด่นของปราสาทนี้ในปัจจุบันคือการที่ทางรัฐบาลกัมพูชาตั้งใจทิ้งปราสาทไว้ในสภาพเดิมที่มีต้นไม้ขึ้นมาแทรกซึมปราสาท ทำให้ปราสาทตาพรหมมีความแปลกตาไปจากปราสาทอื่นๆ
จริงๆแล้วแล้วปราสาทส่วนใหญ่ในเสียมเรียบ แม้แต่นครวัดเองก็เคยมีสภาพนี้ แต่รัฐบาลและ Unesco ได้เข้าไปบูรณะและสร้างใหม่
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของปราสาทนี้คือพระเจ้าชัยวรมันที่ 7ในตอนนั้นได้เปลี่ยนจากการนับถือศาสนาฮินดู มานับถือพุทธศานานิกายมหายาน
ปราสาทนี้ก็เลยจะมีรูปพระพุทธเจ้า หรือพระอวโลกิเตศวรมากมาย แตกต่างจากปราสาทอื่นๆที่เน้นบูชาพระศิวะ พระนารายณ์หรือพระพรหม
แต่พอกษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์ในสมัยหลังหันกลับมานับถือศาสนาฮินดูอีก ก็เลยสั่งให้ช่างมาสลักเอารูปพระพุทธเจ้าออกไปหมดทั้งปราสาท ยกเว้นจุดเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้

อีกจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ คือภาพสลักนางอัปสรากำลังยิ้ม ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักในปราสาทขอม
วันนั้นผมค่อนข้างโชคร้ายมากคับ เพราะมาเจอกรุ๊ปทัวร์จากเวียดนามที่ไม่แน่ใจว่าปิดประเทศมากันหรือเปล่า55มากันแบบแน่นปราสาทไปหมด
ไกด์บอกว่าช่วงนั้นเป็นวันหยุดยาว เพราะมีวันสำคัญของเวียดนาม บวกวันแรงงาน เพราะฉะนั้น 1 – 3 พค ของทุกปีจะแห่กันมาอย่างนี้แหละ ดังนั้นผมแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงช่วงนี้ครับ
สาเหตุที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาที่ปราสาทตาพรหมกันล้นหลามขนาดนี้คงต้องยกความดีความชอบให้ภาพยนตร์เรื่อง Tomb Rider ที่นำแสดงโดย Angelina Jolie ซึ่งใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำครับเพราะหลังจากที่ภาพยนตร์ออกฉาย ปราสาทแห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกัมพูชาขึ้นมาทันที
ด้านในสุดของปราสาทจะเป็นห้องที่สำคัญซึ่งอดีตเคยประดับประดา ตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ตอนนี้โดนแงะของมีค่าไปหมดแล้ว
ไกด์เล่าว่าปราสาทขอมแต่ละปราสาทจะต้องมีคนดูแล ไม่ใช่แค่คนสองคน แต่คนที่ขนมาดูแลปราสาทแทบจะเรียกว่าตั้งชุมชนเป็นเมืองๆ หนึ่งได้เลยทีเดียว
อย่างปราสาทตาพหรม ไกด์บอกว่าจากข้อมูบที่บันทึกไว้มีคนดูแลเป็นหมื่นคน เพราะมีทรัพย์สินมีค่าเก็บไว้มากมายที่เอามาปรนเปรอคนในปราสาท ในบันทึกจะบอกละเอียดถึงขนาดว่ามีคนเท่าไหร่ ใครทำหน้าที่อะไร มีทรัพย์สินอะไรบ้าง
เมื่อผมกลับมาถึงเมืองไทยเลยเพิ่งไป search google ดูถึงรู้ว่า…ปราสาทตาพรหม ได้บันทึกไว้ว่ามีคนดูแลและทรัพย์สินดังนี้
มีคนทำงาน 79,365คน ประกอบด้วยพระชั้นผู้ใหญ่ 18รูป เจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,740คน ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,202คน และนางฟ้อนรำอีก 615คน สำหรับทรัพย์สมบัติของวัดก็มีจานทองคำ 1ชุดหนักกว่า 500กิโลกรัม และชุดเงินเพชร 35เม็ด ไข่มุก 40,620เม็ด หินมีค่าและพลอยต่างๆ 4,540เม็ด อ่างทองคำขนาดใหญ่ ผ้าบางสำหรับคลุมหน้าจากประเทศจีน 876ผืน เตียงคลุมด้วยผ้าไหม 512เตียง ร่ม 523คัน ยังมีเนย นม น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ไม้จันทน์ การบูร เสื้อผ้า 2,387ชุดเพื่อแต่ง รูปปั้นต่างๆ และอะไรมากมายอีกจิปาถะ
อ่านแล้วต้องอุทาน OMG!!! ออกมาเลยครับ
จากปราสาทตาพรหม ผมก็มาทานมื้อเที่ยงกันที่นี่คับ อาหารมากมาย อิ่มท้องแบบแน่นๆ กันไปเลย
อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาไปเยี่ยมเมืองนครธมกันต่อครับ
นครธม
แปลว่าเมืองใหญ่ สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7ในศตวรรษที่ 18ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรขอมมั่งคั่งและรุ่งโรจน์เป็นที่สุด
เอาแค่ทางเข้าเมือง คุณก็ต้องตื่นตะลึงกับซุ้มประตูที่มีใบหน้าพระอวโลกิเตศวรขนาดใหญ่ก้มลงมามองผู้มาเยือนอย่ามีเมตตา (มั้ยอ่ะ 555) แต่ก็ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปะในยุคนี้
อย่างที่ผมเล่าไปในช่วงของปราสาทตาพรหมครับว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7ได้เปลี่ยนการนับถือศาสนาจากฮินดูมาเป็นพุทธศาสนา มหายาน ดังนั้นถ้าเห็นพระอวโลกิเตศวลที่ไหนให้สันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยครับว่าน่าจะสร้างในยุคนี้
นอกจากประตูเมืองจะดูยิ่งใหญ่ น่าเกรงขามแล้ว ก่อนเข้าประตูทั้งสองข้างจะขนาบด้วยเทพและยักษ์ทั้งสองฝั่ง ซึ่งนี่ถือเป็นความพิเศษ เป็นเอกลักษณ์ที่เว่อวังกว่าปราสาทอื่นๆ ของขอม
เนื่องจากปกติปราสาทของขอมจะมีบันไดนาคที่เป็นนาคทอดตัวยาวระหว่างเดินเข้าปราสาท แต่นครธมไม่ใช่แค่นาคธรรมดา แต่กลับเอายักษ์ กับเทวดามายืนอุ้มนาคอยู่คนละฝั่ง แสดงถึงความมั่งคั่งและยิ่งใหญ่ของผู้สร้างจริงๆ ครับ
ผมลองจินตนาการนึกถึงยุคสมัยนั้น เวลาเดินผ่านมันคงดูขลังมากๆ
เมื่อผ่านซุ้มประตูเมืองไปแล้ว ไกด์ก็นำเราไปแวะกันที่ Elephant Terrace กันก่อน
อย่างที่ผมเขียนเล่าไว้ข้างต้นครับว่านครธม มันเป็นเมืองไม่ใช่แค่ปราสาท ดังนั้นภายในนครธมจึงมีทั้งปราสาทราชวัง และสิ่งก่อสร้างมากมายอยู่
Elephant Terrace
เป็นลานใหญ่ ใช้สำหรับฝึกทหารและช้าง ซึ่งต้องใช้ในการสงครามและล่าสัตว์
ลานช้างแห่งนี้จะมีลานกว้างอยู่ด้านหน้า เป็นเหมือนสนามหลวงของบ้านเรา โดยความยาวของลานทั้งหมดเกือบรอบสนามฟุตบอล คือด้านละ 350เมตร
ปัจจุบันลานช้างแห่งนี้ยังใช้ประกอบพระราชพิธีอยู่ เช่น การสวนสนามของทหาร หรือพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญของชาวกัมพูชาก็มาทำที่กันที่ลานแห่งนี้
บริเวณตรงกลางของประรำพิธีที่สร้างไว้แบบถาวร จะสังเกตุว่ามีครุฑ ยืนรองรับตัวอาคารอยู่เพราะตรงส่วนนั้นเป็นพลับพลาของกษัตริย์ ดังนั้นด้านล่างจึงต้องเป็นครุฑแทนช้างที่ใช้ในพลับพลาอื่นๆ ด้านข้าง
พลับพลาแบบนี้จะมีประมาณ 3 จุด เป็นที่ให้กษัตรกับขุนนางใช้ในการทำพิธี
ด้านริมนอกสุดของลานนี้จะเป็นลานที่เคยเรียกว่าลานพระเจ้าขี้เรื้อน (แต่ไกด์บอกว่าจากข้อมูลหลังสุดพบว่าไม่ใช่)จะใช้เป็นลานไว้สำหรับตัดสินโทษ ดังนั้นที่อาคารบริเวณนี้จึงมีภาพสลักของพระยายมแวดล้อมไปด้วยนางนาค ณ เมืองใต้บาดาล
ฝั่งตรงกันข้ามของลานช้าง คุณจะเห็นเจดีย์สร้างไว้ต่อเนื่องกันถึง 12 เจดีย์ เดีย์เหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทน 12 ราศี
จากลานช้างก็ได้เวลาไปชมสถานที่ๆผมหลงรักมากที่สุดในทริปกัมพูชาคราวนี้นั่นคือ…..บายน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันครับ เดินเท้าถึงกันได้
จริงๆแล้ว สำหรับบายน ถ้าเทียบด้วยขนาด ความอลังการ ความประณีต หรือ การทุ่มทุนสร้าง ปราสาทแห่งนี้ย่อมสู้นครวัดไม่ได้แม้แต่สักอย่างเดียว
แต่ผมกลับหลงเสน่ห์เหล่าหมู่ปราสาทของบายนอย่างอธิบายไม่ได้ มันเหมือนมีมนตร์เสน่ห์ และความน่าหลงใหล ความขลังบางอย่างระหว่างเดินอยู่ในหมู่ปราสาทเหล่านี้
โดยปกตินักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เมื่อมาถึงบายน ก็จะตรงเข้าไปด้านในเลย
แต่ไกด์ของผมกลับพาผมและชาวคณะเลี้ยวซ้าย เลาะไปตามแนวกำแพง จนถึงชุดภาพแกะสลักที่เรียงรายยาวไปตลอดทั้งผนัง แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องสนุกๆเรื่องนึงให้ฟัง
นานมาแล้วมีกษัตริย์กัมพูชาองค์หนึ่ง ซึ่งขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังเล็กๆเพราะเหตุนี้จึงเป็นโอกาสให้พวกจาม (ครองอาณาจักรแถวๆ เวียดนาม) อาศัยจังหวะที่ขอมมีกษัตริย์ที่ยังเล็กมาตีเมือง
เป็นปกติของเกือบทุกอาณาจักร ที่ช่วงผลัดแผ่นดิน มักเป็นช่วงที่อาณาจักรอ่อนแอที่สุดรัชสมัยของกษัตริย์องค์นี้จึงเริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้
ต้องเทครัวหนีกันหัวซุกหัวซุน ในภาพจะเห็นความหวาดกลัวในสีหน้าของเหล่าทหารได้เป็นอย่างดี
โปรดสังเกตุ ไกด์เล่าขำๆว่า คงหนีลงเขา เพราะตอนชี้ข้าศึก ชี้ไปด้านบน ข้าศึกคงกำลังไล่ตามมา
ถึงคราวนี้จะพ่ายแพ้แต่กษัตริย์เด็ก หรือหนุ่ม ไม่แน่ใจ ก็สามารถเอาชีวิตรอดมาได้พร้อมประสบการณ์ในการทำสงครามตั้งแต่ยังเล็ก
พระองค์ทรงไปหลบอยู่หลายปี เมื่อโตขึ้นจนพร้อมเป็นแม่ทัพ พระองค์ก็นำทหารกลับมาชิงอาณาจักรคืน
กลับมาคราวนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะเป็นกษัตริย์หนุ่มที่ห้าวหาญ เชี่ยวชาญการรบมาก
สุดท้ายทหารขอม จึงเอาชนะทหารเมืองจามแบบราบคาบ เรียกว่าเหยียบหัวกันเลย
กษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้ ต่อมากลายเป็นกษัตริย์ขอมที่นักประวัติศาสตร์ทั่วโลกต่างรู้จักในนาม พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์นึงของอาณาจักรขอม
ที่ผมเล่ามาแบบยืดยาวทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า….ก่อนเข้าไปบายน ต้องเดินไปดูภาพสลักเหล่านี้ก่อนนะครับ
ปราสาทบายน
เป็นปราสาทหินของอาณาจักรเขมร อยู่ในบริเวณของใจกลางของนครธม สร้างขึ้นเป็นวัดประจำสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก่อสร้างในราวปี พ.ศ. 1724-พ.ศ.1763 โดยถูกสร้างขึ้นหลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงได้ชัยชนะจากการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปา นับเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ปราสาทแห่งนี้มีความซับซ้อนทั้งในแง่โครงสร้างและความหมาย เนื่องจากผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านศาสนาและความเชื่อมาตั้งแต่คราวนับถือเทพเจ้าฮินดู และพุทธศาสนา
ตัวปราสาทเองก็มีลักษณะพิเศษ เนื่องจากส่วนของหอได้สร้างเป็นรูปหน้าพระพรหมสี่ทิศ จำนวน 49 หอ ปัจจุบันคงเหลือเพียง 37 หอ
ที่นครวัดและปราสาทตาพรหม มีนางอัปสรายิ้ม ที่นี่ก็มีพระพรหม 4หน้ายิ้มเหมือนกัน ลองหาดูนะคับ ไม่ยากมาก แค่สังเกตุหน่อย (แต่ของผมไกด์ชี้จุดให้ 555)
และเนื่องจากเป็นศาสนสถานของทั้งพุทธ ทั้งฮินดูด้วย แน่นอนก็ต้องมีศิวลึงค์ อยู่ในปราสาทด้วย
อย่างที่เขียนเล่าครับ ผมค่อนข้างประทับใจปราสาทบายนมากทีเดียว ใช้เวลาเดินอยู่ที่นี่ค่อนข้างนาน จนไกด์ต้องมาเตือนว่าจะไปสถานที่ต่อไปไม่ทัน ผมจึงต้องปาดน้ำตาโบกมือลาด้วยความอาลัย 555
ขอย้ำอีกครั้งว่าโดยส่วนตัว หลังจากกลับมาจากทริปกัมพูชาแล้วแล้ว ผมจะบอกเพื่อนๆ ทุกคนเสมอว่า
…..See “Bayon” before you die…
จากสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ สถานที่สุดท้ายของวันนี้เราก็เปลี่ยนไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติบ้างนั่นคือ… โตนเลสาบ
ทะเลสาบเขมร หรือ โตนเลสาบ
โตนเลสาป เป็นทะเลสาบที่เกิดจากลำน้ำโขง และแม่น้ำสายย่อยๆไหลมารวมกันจนเป็นทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บริเวณตรงกลางของประเทศกัมพูชา มีพื้นที่ ประมาณ 7,500ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 7เท่า ครอบคลุมพื้นที่ 5จังหวัดของกัมพูชา ได้แก่ กำปงธม กำปงชนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และเสียมราฐ เป็นทะเลสาบที่มีปลาน้ำจืดชุกชุมมากแห่งหนึ่งประมาณ 300ชนิด กล่าวกันว่าเป็นแหล่งอาหารน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นอันดับ 2รองจากการท่องเที่ยว
ทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบที่มีปลาน้ำจืดชุกชุมมากแห่งหนึ่งถึงประมาณ 300 ชนิด จึงมีชาวกัมพูชาเป็นจำนวนมากที่ประกอบอาชีพประมงในบริเวณทะเลสาบแห่งนี้
นอกจากนั้นโตนเลสาบยังเป็นสถานที่ๆค้นพบหนึ่งในราชกกุธภัณฑ์ของราชสำนักเขมรนั้นคือ พระแสงขรรค์ชัยศรี อีกด้วย
ในช่วงที่ผมไปเป็นช่วงหน้าร้อนของเขมร น้ำในทะเลสาบเลยลดลงไปเยอะเลยครับ
บริเวณท่าเรือมีเรือรอให้บริการอยู่มากมายเลยคับ จะเหมาไปทั้งลำ หรือรอไปกับกลุ่มใหญ่ก็ได้
ที่นั่งด้านในเรือ มีเก้าอี้มาตั้งให้นั่งเป็นคุณหลวงกันเลยทีเดียว
เริ่มล่องไปโตนเลสาบกันคับ ระหว่างนั่งเรือคุณจะได้ดูวิถีชีวิตริมน้ำก่อนออกสู่ทะเลสาบเล็กน้อย
การเห็นเด็กตัวเล็กๆมาทำงาน เป็นภาพชินตาไปแล้วในประเทศนี้ ซึ่งก็รู้สึกสงสารเหมือนกันครับ
ด้วยความที่เป็นช่วงน้ำลง เพราะเป็นหน้าร้อน เลยใช้เวลาพอสมควรเลยครับกว่าจะออกไปถึงทะเลสาป เพราะต้องคอยสับหลีกกับเรือที่จะกลับมาเข้าฝั่งด้วย เนื่องจากร่องน้ำที่เรือพอจะแล่นผ่านได้นั้นแคบมาก
ที่ใจกลางของโตรเลสาบจะมีชุมชนชาวเลที่มาอยู่อาศัยอยู่กลางน้ำ ชาวประมงที่อาศัยอยู่ตามริมน้ำส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนามอพยพในยุคสงครามเย็น หรือสงครามคอมมิวนิสต์ สมัยที่เวียดนามส่งทหารมาช่วยรบในเขมร (ไกด์เลยเม้าผู้นำอีกแล้ว ว่าสนิทกับเวียดนามมาก เลยยอมให้คนเวียดนามเข้ามาแย่งคนเขมรทำกินเป็นล้านๆคน )
บริเวณชุมชนกลางน้ำแห่งนี้มีทุกอย่างคับ ทั้งร้านค้า สถานีอนามัย โบสถ์
ในกัมพูชา ที่ไหนมีนักท่องเที่ยวก็จะมีคนยากจนเหล่านี้มาขอทานค่อนข้างแยอะ แม้กระทั่งกลางน้ำ ตอนนั้นเลยรู้สึกขัดกับข้อมูลของไกด์นิดนึงว่า โตนเลสาป อุดมสมบูรณ์มากมีปลาให้จับไม่มีวันหมดแต่ทำไมถึงมีคนมาทำอาชีพแบบนี้เยอะ มากจริงๆ เห็นแล้วหดหู่คับ
และที่หดหู่กว่าคือต้องใจแข็งไม่ให้เงินครับ ไม่งั้นคุณจะโดนทุกคนรุมเข้ามาหา โชคดีที่ในกระเป๋ามีติดขนมและลูกอมอยู่บ้าง เลยแบ่งให้เด็กๆไปบางส่วน
เห็นเด็กๆบางคนใช้แค่กาละมังเป็นพาหนะ หวังว่าน้องเค้าจะว่ายน้ำแข็ง เห็นแล้วหวาดเสียว
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาโตนเลสาบ จะมาช่วงเช้ามืด หรือไม่ก็เย็นไปเลยเพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์ตก
ระหว่างขากลับไปท่าเรือ เนื่องจากข้างทางไม่มีอะไรเลยมาเล่นกับลูกเจ้าของเรือที่มากับพ่อด้วย
ถึงเสื้อผ้า หน้าตาจะสกปรกมอมแมม แต่น้องน่ารัก แววตาสดใส ดูมีความสุขตลอดเวลาเลยคับ
โชคดีก่อนเดินทาง ผมได้จ้อมูลมาว่าให้ติดขนมนมเนย ช็อคโกเลตเผื่อมาแจกเด็กๆ ด้วย พวกผมก็เลยพกมาคับ แต่ไม่ได้เยอะมาก
งานนี้เลยให้น้องเค้าไปหมดเลย ดูน้องมีความสุขมาก พวกเราเองก็เสียดายที่เอามาน้อยไป
ที่สำคัญถ้ารู้อย่างนี้จะขนเสื้อผ้ามาบริจาคเยอะๆเลยคับ เพราะเราเดินทางด้วยรถตู้ส่วนตัวอยู่แล้วไม่ลำบากเท่าไหร่
ถ้าใครมีโอกาสไปที่นี่และไม่ลำบากในการขนของ ผมแนะนำว่าเตรียมของไปบริจาคน้องๆ เขาบ้างก็ดีนะคับ
อีกเรื่องที่น่าทึ่งระหว่างนั่งเรือกลับเข้าฝั่งคือผมเพิ่งสังเกตุเห็นวิธีการบังคับเรือ โดยใช้เท้าข้างเดียวบังคับหางเสือด้วยลวด 1 เส้น เห็นแล้ว Amazing มากคับ
ช่วงขากลับนี้ น้ำเริ่มลงมากกว่าขามาเสีย เรือก็เลยไปลำบากมากเพราะต้องคอยหลบเกาะแก่ง และรอคิวกัน
สุดท้ายคนขับเรือก็ต้องใช้วิธีลงไปลากเรือ ให้ไกด์เป็นคนใช้ไม้ถ่อกำหนดทิศทาง
ส่วนลูกสาว ก็ลงไปช่วยแบบขำๆ ไม่ได้ซีเรียสมาก ดูลั่นล้าสุดๆ สนุกเหมือนได้ลงไปเล่นน้ำผมว่าส่วนนึงที่น้องคนนี้แฮปปี้ คือเพราะได้อยู่กับพ่อ ทำงานกับพ่อคับ คงเป็นความสุขเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของเค้า
พวกผมใช้เวลาตรงนี้นานพอสมควรเลยคับ กินเวลากว่าที่คิดไปไว้มาก ดังนั้นหากคุณมาโตนเลสาบช่วงหน้าร้อน แล้วมีโปรแกรมไปที่ไหนต่อ ควรเผื่อเวลาดีๆ ครับ
หลังเข้าฝั่ง พวกผมก็นั่งรถกลับเข้าเมืองกัน โดยช่วงค่ำไกด์พาผมและเพื่อนๆไปทานอาหารบุฟเฟย์ซึ่งจะมีการจัดแสดงโชว์ให้ดูด้วย
อาหารที่นี่เยอะมากครับ มากจริงๆ เรียกว่าเลือกทานกันไม่หมด แต่รสชาติก็ประมาณนึงไม่ได้ประทับใจครับ
ส่วนการแสดง เอาจริงๆ ก็คล้ายๆกับบ้านเราครับ เลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นมาก เพียงแต่ก็พยายามดูหาจุดแต่งต่าง เช่น การแต่งกาย ท่ารำ และองค์ประกอบต่างๆว่ามีจุดเหมือน จุดต่างอะไรบ้าง เก็บไว้เป็นความรู้
วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่ถือเป็นวันที่ยาวนาน มีสถานที่ๆผมไปเยือนมากมาย แต่น่าแปลกที่ผมรู้สึกไม่เหนื่อยเลย เพราะทุกสถานที่มีความน่าสนใจในตัวมันเอง เป็นสถานที่ๆไปเห็นแล้วก็ไม่รู้สึกผิดหวัง หรือรู้สึกเสียเวลาที่เดินทางไปเยือนเลย
จดหมายฉบับหน้า ผมจะกลับมากับเรื่องราวการท่องเที่ยววันสุดท้ายของผมในเสียมเรียบ ซึ่งจะมีปราสาทในยุคขอมที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับปราสาทอื่นๆของเขมร แต่่บางคนบอกว่าสถานที่แห่งนี้คือเพชรน้ำเอกของศิลปะขอม จะเป็นที่ไหน รอติดตามอ่านนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
One Comment Add yours