ถึง….เธอ
จดหมายฉบับนี้จะเป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเมืองเสียมเรียบเป็นวันสุดท้ายเนื่องจากช่วงบ่ายๆ ของวันนี้ผมและเพื่อนๆจะเดินทางไปที่เมืองหลวงของกัมพูชานั่นคือ…พนมเปญกันต่อ
แม้จะเป็นวันสุดท้ายแต่วันนี้ก็มี Highlight ที่สำคัญที่คุณไม่ควรจะพลาดเมื่อมาเยือนเสียมเรียบเพราะสถานที่นี้แม้จะเล็กแต่เล็กแบบมีคุณภาพคับแก้ว บางคนถึงกับกล่าวว่าสถานที่นี้ถือเป็นเพชรเม็ดเอกของศิลปะวัฒนธรรมขอมเลยทีเดียว
สถานที่ๆผมกำลังเขียนถึงก็คือ…ปราสาทบันทายศรี
หลังจากตื่นนอนและทานมื้อเช้ากันที่โรงแรมแล้ว พวกผมก็ Check out จากโรงแรม Prince De Angkor กันเลยเพราะช่วงบ่ายเราจะไปสนามบินแล้วบินไปพนมเปญกันเลย
หลังจาก Check out กันเรียบร้อยเราก็เดินทางไปบัณฑายศรีกันเลย ซึ่งเมื่อไปถึง บริเวณทางเข้าก็จัดระเบียบได้อย่างเรียบร้อยเหมือนกับสถานที่อื่นๆ เนื่องจากมี Unesco คอยกำกับดูแลและวางระบบให้
แม้ว่าผมจะมาถึงค่อนข้างเช้า แต่นักท่องเที่ยวก็มากันเต็มแล้ว เพราะอย่างที่เขียนเล่าไปครับว่า..บันทายศรีถือว่าเป็นสถานที่ๆ นักท่องเที่ยวที่มาเสียมเรียบยังไงก็ต้องหาโอกาสมาเยี่ยมชมให้ได้
ปราสาทบันทายศรี (Wikipedia)
เป็นปราสาทหินที่ถือได้ว่างดงามที่สุดในประเทศกัมพูชา มีสวยงามทั้งทางศิลปะ สถาปัตยกรรม มีความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ และเป็นปราสาทแห่งเดียวที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 1000 ปี แต่ลวดลายก็ยังมีความคมชัด เหมือนกับสร้างเสร็จใหม่ ๆ
ปราสาทบันทายศรีหรือเรียกตามสำเนียงเขมรว่า บันเตียไสร หมายถึง ปราสาทสตรีหรือป้อมสตรี อยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมราฐไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร ใกล้กับแม่น้ำเสียมราฐในบริเวณที่เรียกว่า อิศวรปุระ หรือเมืองของพระอิศวร
ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า “ตรีภูวนมเหศวร” หรือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม” ปราสาทมีขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหาได้ยาก สร้างขึ้นเมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคม พ.ศ. 1510 โดยพราหมณ์ยัชญวราหะ ในตอนปลายของสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 และเสร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5
สิ่งหนึ่งที่คุณสามารถเห็นได้ชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างบันทายศรีและศาสนสถานอื่นๆในเสียมเรียบก็คือเรื่องของ“ขนาด”
บันทายศรี เป็นศาสนาสถานที่มีขนาดเล็กและไม่สูงมากเมื่อเทียบกับศาสนสถานอื่นๆของขอม
สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากผู้ที่สร้างบันทายศรีไม่ใช่กษัตริย์ แต่เป็นพรามหณ์ที่มีอำนาจบารมีสูงมากในราชสำนัก จึงสามารถสร้างอะไรแบบนี้ได้
สิ่งที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้มีความโดดเด่นเหนือปราสาทอื่นๆ นอกจากจะใช้หินสีชมพูซึ่งหาได้ยากมากแล้ว ลวดลายการแกะสลักต่างๆก็งดงามวิจิตร และแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วแต่ลวดลายเหล่านั้นก็ยังคงสมบูรณ์แบบมากๆ
เรียกว่าถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดูอะไรแบบนี้ อาจจะสามารถอยู่ได้ทั้งวันเลยทีเดียว
ในกรอบซุ้มปราสาทองค์แรก มีรูปพระศิวะกำลังร่ายรำ หรือที่เรียกว่า ศิวนาฏราช ท่ารำของพระองค์มีถึง 108 ท่า แต่ละท่ามีผลต่อฟ้าดิน หน้าบันของห้องสมุดทางด้านทิศใต้ สลักภาพพระอิศวรกำลังประทับนั่งอยู่เหนือเขาไกรลาศ
ที่หน้าบันห้องสมุดทางด้านทิศเหนือ แสดงภาพพระอินทร์กำลังบันดาลให้ฝนตกลงมา บนอาคารเดียวกันนี้ เหนือหน้าบันทางทิศตะวันตกแสดงภาพพระกฤษณะกำลังประหารพระยากงศ์ในพระราชวัง ภาพสลัก ณ ปราสาทบันทายศรี นอกจากความงดงามในฝีมือการสลักแล้ว ยังมีคุณค่าเกี่ยวกับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง อันเห็นได้จากความรู้สึกที่แสดงออกมาจากภาพเหล่านั้น ซึ่งเป็นพยานหลักฐานชิ้นแรก ที่ทำให้เราทราบเกี่ยวกับชีวิตของชาวขอมในต้นพุทธศตวรรษที่ 16
ต้องบอกเลยครับว่าถึงจะเล็กแต่ต้องกราบในงานศิลป์ชั้นสูงของคนโบราณที่นี่เลย
จากปราสาทบันทายศรี พวกผมก็ไปกันต่อที่เขาพนมกุเลน
เขาพนมกุเลน
ถูกยกให้เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติของประเทศกัมพูชาเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สำคัญของประเทศ
บนเทือกเขาพนมกุเลนเป็นต้นแม่น้ำที่จะมีลำธารไหลผ่านแผ่นทับหลังรูปสลักของชาวขอมโบราณ ดังนั้นน้ำในลำธารนี้ชาวกัมพูชาจึงเชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่ศักดิ์สิทธิ และจะถูกนำมาใช้ในการพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒนสัตยา และพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ของกษัตริย์กัมพูชาทุกสมัย
ในอดีตเขาพนมกุเลน เป็นที่ประทับของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าพระองค์ทรงประทับที่พนมกุเลนนานเท่าไร และเมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เสด็จกลับไปครองราชย์ที่หริหราลัย หลังจากนั้นมาอีก 300 ปี จึงมีการสร้างปราสาทนครวัดขึ้น ร่องรอยของปราสาทบนเขาพนมกุเลนจึงพบเป็นปราสาทหลังเล็ก ๆ และมีสภาพทรุดโทรม มีเพียงแต่ศิวลึงค์ที่ถูกแกะสลักอยู่ใต้น้ำนับพันองค์เพื่อบูชาพระศิวะซึ่งส่วนใหญ่จะเหลือแค่ฐาน
ศิวลึงค์นับพันองค์ที่อยู่ใต้น้ำนั้น เป็นของศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย บูชาศิวลึงค์ว่าเป็นต้นกำเนิดของสรรพชีวิต ศิวลึงค์นั้นก็คืออวัยวะเพศชายแทนพระศิวะ และฐานโยนีที่ล้อมรอบศิวลึงค์ ก็คืออวัยวะเพศของเพศหญิง ซึ่งก็คือนางอุมาเทวีชายาของพระศิวะ และมีความเชื่อของชาวฮินดูที่ว่าตราบใดที่อวัยวะทั้งสองยังอยู่ด้วยกัน ตราบนั้นโลกจะอยู่เย็นเป็นสุข
จากเขาพนมกุเลน ไกด์ก็นำเราไปวัดใกล้ซึ่งผมเองก็จำชื่อไม่ได้แล้วว่าวัดอะไร จำได้ว่าสร้างอยู่บนยอดเขา และระหว่างทางเดินไปนั้นก็มีโอกาสได้เดินชมชมชุนหมู่บ้านของชาวกัมพูชาด้วย
ที่วัดแห่งนี้ดูสภาพทั่วๆไปก็คล้ายๆกับวัดไทยนะครับ แต่พุทธลักษณะของพระพุทธรูปจะออกไปทางขอมหน่อย ไม่เหมือนบ้านเรา
และที่ไม่เหมือนแน่ๆ คือคุณก็อาจจะพอทราบว่าพุทธศาสนาของไทยนั่นมีอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์เข้ามาปนอยู่พอสมควร แต่ผมว่ากัมพูชาอาจจะล้ำกว่า เพราะในวัดพุทธที่ถึงขนาดมีศิวลึงค์ให้ผู้ศรัทธามาลดน้ำแสดงความสักการะขอพรแบบนี้ ในวัดบ้านเราน่าจะยังไม่มี
เสร็จจากวัดแล้ว ไกด์ก็พาเราไปน้ำตกในอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลน ซึ่งน้ำตกแห่งนี้จะมีชาวกัมพูชามาพักผ่อนหย่อนใจกันจำนวนมาก พวกผมก็เลยถือโอกาสทานข้าวกล่องเป็นมื้อเที่ยงกันที่นี่เลย
น้ำตกที่เขาพนมกุเลนก็มีชื่อว่าน้ำตกพนมกุเลนเลย ซึ่งน้ำตกที่นี่ก็มีจุดที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ Tomb Riderที่ Angelina Jolie แสดงด้วยเช่นกัน ทำให้มีนักท่องเที่ยวบางส่วนก็มาตรงจุดนี้เพื่อมาถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน
จากเขาพนมกุเลน ไกด์ก็นำพวกผมไป shopping กันนิดหน่อยที่ตลาดของที่ระลึกในเมือง แต่พวกผมก็ไม่ได้อะไรกันเลย เพียงแค่เดินๆดูนิดหน่อยเท่านั้น จากนั้นพวกเราก็ตรงไปสนามบินกันเลย
ผมและไกด์ต้องอำลากันที่สนามบินนี้ เนื่องจากเราจ้างบริษัททัวร์กันแค่ที่เสียมเรียบเท่านั้น เป็นการอำลาที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ และความรู้สึกดีๆ แม้ว่าช่วงนั้นทั้งสองประเทศของเรากำลังอยู่ในภาวะสงคราม
ในทริปนี้ผมโชคดีมากๆ ที่ได้ไกด์ดี ดีมากจริงๆ เปี่ยมไปด้วยความรู้ อัธยาสัยดี และไม่เอาเปรียบหรือหลอกขายของให้นักท่องเที่ยว ทำให้การท่องเที่ยวของพวกผมในเสียมเรียบรอบนี้มีแต่เรื่องราวดีๆและน่าประทับใจมาก
สนามบินที่เสียมเรียบ ตอนที่ผมไปใช้บริการยังดูใหม่ ผู้คนยังมาเยอะเท่าไหร่นัก สนามบินเองก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
หลังจาก check in แล้วพวกผมก็เขาไปด้านในรอขึ้นเครื่องกันเลย ซึ่งด้านในก็มีร้านกาแฟให้บริการเครื่องดื่มและขนมด้วย พวกผมก็เลยไปนั่งรอขึ้นเครื่องกันตรงจุดนั้น
เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็เรียกให้เราไป Boardingซึ่งเครื่องบินก็จอดอยู่ด้านนอกแบบเดินไปไม่ไกลเลย
เครื่องบินวันนี้ก็เป็นเครื่องเล็กแบบเดียวที่บินมาจากเมืองไทยครับ ต้องขึ้นเครื่องทางด้านหลังเหมือนกัน และด้านในก็ไม่ใหญ่มาก
หลังจาก Boarding ครบก็มีการสาธิตความปลอดภัยตามระเบียบ แล้วก็เริ่มบริการผ้าเย็นและเสริฟเครื่องดื่ม ของว่าง
ซึ่ง…เอาจริงๆ ทั้งผ้าเย็น ทั้งขนม และเครื่องดื่ม (น้ำเปล่า) มันแอบให้ความรู้สึกว่าเป็นบริการแบบนครชัยแอร์ไปนิด เหมือนนั่งรถทัวร์มากกว่าเครื่องบิน 5555 ทั้งๆที่ราคาค่าตั๋วคือเกือบ 5000 บาท
การบินรอบนี้ผมได้มีโอกาสบินผ่านโตนเลสาปและเห็นชุมชนชาวเลที่นั่นด้วย
พวกผมมาถึงพนมเปญตอนพลบค่ำพอดี ซึ่งสนามบินที่พนมเปญก็ดูใหม่เช่นกัน โดยที่แปลกคือจุดรับกระเป๋าเป็น out door จากนั้นผมก็เดินออกไปเรียกTaxiเพื่อไปโรงแรมกันครับ
โรงแรมที่เราพักคราวนี้ชื่อว่า Combodiana ซึ่งเป็นโรงแรมค่อนข้างดีตั้งอยู่ติดแม่น้ำซึ่งก็มาจากทะเลสาปโตนเลสาบ โดยสาเหตุที่เราเลือกนอนโรงแรมค่อนข้างดีเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัยเท่าไหร่ เลยพยายามเลือกโรงแรมที่มีมาตรฐานระดับหนึ่ง
หลังจากที่ check in และไปเก็บของในห้องกันแล้ว พวกผมก็ไปทานมื้อเย็นแบบบุฟเฟย์กันที่ห้องอาหารของโรงแรมเนื่องจากอย่างที่เขียนเล่าครับว่าช่วงนี้ก็ยังมีความมึนตึงเรื่องสงครามระหว่างประเทศกันอยู่ พวกผมเลยไม่อยากออกไปข้างนอกตอนมืดๆ เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เลยตัดสินใจทานกันในโรงแรมเลย
วันนี้ถือเป็นอีกวันที่ยาวนานและก็เต็มไปด้วยความประทับใจครับ โยทริปที่ผ่านมาคุณจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ สวยงาม ของศิลปะขอม แต่เรื่องราววันพรุ่งนี้ที่ผมจะเขียนมาเล่า จะกลับตาลปัตรเป็นเรื่องราวที่มีแต่ความหดหู่ ชวนเศร้าใจเพราะสถานที่ๆผมจะไปกันนั้นจะเป็นสถานที่ๆทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาด้วยฝีมือของเขมรแดงทำให้มีการคาดการณ์ว่ามีผู้เสียชีวิตไปมากถึง 3 ล้านคน
ประวัติศาสตร์จะสอนให้เราเรียนรู้เพื่อที่จะไม่ทำให้เราทำเรื่องที่ผิดพลาดขึ้นมาอีก จดหมายฉบับหน้าผมจะนำคุณไปเรียนรู้เรื่องนี้พร้อมๆกันครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
12.6.2020
One thought on “รักระหว่างรบ Cambodia Trip : นครวัด เสียมเรียม พนมเปญ , กัมพูชา Part 6 : Day 4 บันทายศรี – เขาพนมกุเลน – พนมเปญ”